ปรัชญาบัคจื๊อ(Bug-Tzu)หรือม่อจื๊อ(Mo-Tzu)

 


ปรัชญาบัคจื๊อ (Bug - Tzu) หรือม่อจื๊อ (Mo - Tzu)

บรรดา ปรัชญาเมธีร้อยคน ของจีนสมัยโบราณนั้น ม่อจื๊อ นับว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ เมื่อ เม่งจื๊อ (Mencius) รู้สึกว่าจะต้องป้องกัน และทำให้ลัทธิขงจื๊อกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ตัดปรัชญาของม่อจื๊อออกในฐานะที่อยู่ในกลุ่มศัตรูที่เป็นอันตรายที่สุดของลัทธิขงจื๊อ แม้ว่าลัทธิของม่อจื๊อจะตั้งหลักมั่นอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ม่อจื๊อและคำสอนของท่านก็ได้ทิ้งรอยประทับไว้ในจิตใจของชาวจีนจนไม่อาจสามารถที่จะลบให้หมดไปได้ ทุกวันนี้คำสอนของม่อจื๊อ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้เตือนให้ระลึกถึงว่าเราจะบรรลุถึงความสุขสูงสุดอันเป็นนิรันดรแห่งความคิดเห็นแบบขงจื๊อ โดยอาศัยการละเลยต่อหน้าที่หรือความเฉื่อยชาในด้านพุทธิปัญญาได้ไม่ง่ายเลย แต่เราจะชนะได้ก็โดยอาศัยการต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากเย็นกับฝ่ายตรงข้ามที่มีคุณค่าสูงเท่านั้น(จำนง  ทองประเสริฐ. 2537 : 49)

ปรัชญาม่อจื๊อมีความเกี่ยวพันอย่างมากกับเหตุการณ์ทางการเมือง สังคม และจริยธรรมของสังคมในสมัยนั้น สังคมจีนในช่วงระยะที่มีการปกครองแบบระบบขุนนาง (Feudalism) ในสมัยราชวงศ์โจว กษัตริย์ เจ้าฟ้าและพวกขุนนาง ต่างมีทหารประจำตัวหรือประจำตระกูล แต่ในช่วงปลายของราชวงศ์โจวระบบศักดินาเสื่อมอำนาจลง พวกทหารประจำตัวหรือประจำตระกูลก็พลอยสูญเสียฐานะตำแหน่งไปด้วย จึงออกท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างรบสุดแล้วแต่ผู้จ้าง กลุ่มชนพวกนี้เป็นที่รู้จักกันว่า พวกเฉีย (Hsieh)หรือยู เฉีย (Yu Hsieh) แปลว่า อัศวินพเนจร (Knight - Arrant) พวกนี้มีพฤติกรรมที่ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่า “คำพูดของพวกเขาซื่อตรง และเชื่อถือได้ การกระทำของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด พวกเขาซื่อตรงต่อคำสัญญาและปฏิบัติหน้าที่โดยไม่หวั่นต่ออันตราย”(Shih Chi Ch. 124 อ้างจาก Fung Yu-Lan,1970.P. 50) และพวกอัศวินเหล่านี้ยังถือหลักในการทำงานร่วมกันอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ “ยามสุขสุขร่วมกัน คราวทุกข์ทุกข์ร่วมกัน”(Enjoy equally, Suffer equally) เหล่านี้คือจรรยาในอาชีพของพวกเขา ปรัชญาส่วนใหญ่ของม่อจื๊อจึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีเก่าๆ และอธิบายขยายความจรรยาของกลุ่มอัศวินดังกล่าว

แต่ม่อจื๊อและพวกศิษยานุศิษย์ก็มีลักษณะอันเป็นข้อแตกต่างจากพวกอัศวินอยู่ 2 ประการ คือ

1. พวกเฉียหรืออัศวินนั้นพร้อมเสมอที่จะทำการรบต่อสู้ เมื่อมีผู้จ้างหรือถูกบังคับโดยพวกขุนนาง

ส่วนพวกม่อจื้อนั้นไม่นิยมการรบ การสงครามที่มีลักษณะเป็นการรุกรานซึ่งกันและกัน จะต่อสู้ก็ต่อเมื่อเห็นความจำเป็น เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของบ้านเมืองหรือป้องกันตัวเองเท่านั้น

2. พวกอัศวินยึดหลักจรรยาในอาชีพอย่างเหนียวแน่น ปราศจากเหตุผลและไม่คำนึงถึงเหตุผลอื่นใด

ส่วนพวกม่อจื๊อนั้นวางใจเป็นกลางในจรรยาเหล่านั้น ศึกษาหาเหตุผลและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตามสภาพความเป็นจริง

แม้ว่าปรัชญาม่อจื๊อจะมีพื้นฐานมาจากจรรยาของพวกอัศวิน แต่ในขณะเดียวกันก็นับได้ว่า เป็นผู้สร้างระบบปรัชญาในแนวใหม่ขึ้น (น้อย  พงษ์สนิท.ผศ.,ม.ป.ป. : 37-38)

ม่อจื๊อหรือบัคจื๊อ(เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 115) เป็นชาวรัฐลู้ เกิดหลังมรณกรรมของขงจื๊อไม่นาน เป็นคนรุ่นเดียวกับหยางจื๊อ แต่ไม่ปรากฎว่าเขาเกิดปีใดแน่ สันนิษฐานกันว่าคงจะเกิดระหว่าง พ.ศ. 63 – 76 และถึงแก่กรรมราว พ.ศ. 153 – 168 คำว่า ม่อ เป็นแซ่ ส่วนชื่อของเขา คือ เต็กหรือตี่ (Ti) แต่คนนิยมเรียกแซ่ของเขามากกว่า เพราะฉะนั้นคำว่า ม่อจื๊อ ก็คือท่านอาจารย์แซ่ม่อนั่นเอง แต่ภายหลังได้มีนักปราชญ์บางท่านมีความเห็นว่า คำว่า ม่อ ไม่ใช่แซ่ หากแต่เป็นคำเรียกคนพวกหนึ่ง ซึ่งมีรอยสักเป็นเครื่องหมาย ได้แก่ พวกทาส กรรมกรหรือเชลยสงคราม ม่อจื๊อก็เป็นกรรมกรช่างฝีมือคนหนึ่ง จึงมีรอยสักเช่นกัน ส่วนคำว่า ตี่ ก็ไม่ใช่ชื่อจริง คำนี้หมายถึงขนนกก็ได้ เพราะเชื่อกันว่า ม่อจื๊อชอบปักขนนกตามความนิยมของคนทั่วไปในสมัยนั้น(ซิวไช,2523 : 258.อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 104) หากเป็นตามความเห็นดังกล่าวก็แสดงว่า ม่อจื๊อมีกำเนิดเป็นกรรมกร แตกต่างจากหยางจื๊อและขงจื๊อ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนาง และก็น่าจะเป็นจริงอย่างนั้น เพราะม่อจื๊อได้รณรงค์อย่างมากให้เลิกล้มการแบ่งชนชั้นยกฐานะกรรมกรให้สูงขึ้นเสมอคนทั้งหลาย ปรัชญาของม่อจื๊อมีชื่อเสียงและสำคัญพอๆ กับปรัชญาของขงจื๊อ ทั้งมีอิทธิพลอย่างมากในหมู่กรรมกร ม่อจื๊อเคยศึกษาปรัชญาเต๋าและเคยอยู่ในสำนักปรัชญาขงจื๊อ แต่ม่อจื๊อไม่เห็นด้วยกับปรัชญาของเหลาจื๊อ และปรัชญาขงจื๊อหลายอย่าง จึงปลีกตัวออกมาตั้งสำนักสอนปรัชญาตามทรรศนะของตนขึ้น เขาได้ตั้งกฎระเบียบต่างๆ ของสำนักขึ้นมา ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม ใครละเมิดจะถูกลงโทษ และถือว่าสาวกทุกคนเป็นองคาพยพของสำนัก ใครทำงานมีรายได้จะต้องแบ่งบำรุงสำนัก นอกจากนี้ยังมีการสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักอีกด้วย ตำแหน่งนี้เรียกว่า กื้อจื๊อ แปลว่า มหาคุรุ(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 103-104)

ม่อจื๊อเป็นคนบูชาอุดมคติของตนมาก ไม่ยอมขายอุดมคติของตนแลกยศศักดิ์เงินทอง อย่างเช่น คราวหนึ่ง ม่อจื๊อเขียนหนังสือแสดงความเห็นทางการเมืองไปถวายพระเจ้าฌ้อฮุ้ยอ๊วง แห่งรัฐฌ้อ พระองค์ทรงพอพระทัยในความรู้ของม่อจื๊อมาก ถึงกับตรัสว่า “หนังสือของท่านประเสริฐนัก ถึงข้าพเจ้าไม่อาจนำมาปฏิบัติได้ แต่ก็จักแต่งตั้งท่านให้เป็นขุนนางศักดินา”

ม่อจื๊อ ทูลตอบว่า “ถ้าอุดมคติของข้าพเจ้ามิอาจนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลได้ ข้าพเจ้าก็มิอาจรับรางวัลจากพระองค์”(เสถียร  โพธินันทะ, 2506 : 212. อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 105.)

จากพฤติกรรมของม่อจื๊อดังกล่าว เราย่อมสามารถคาดถึงหัวใจของปรัชญาของม่อจื๊อได้ว่า เป็นหัวใจอันเดียวกันกับหัวใจของปรัชญาขงจื๊อ คือ ศูนย์กลางของความสำคัญอยู่ที่มนุษย์ ทั้งนี้ ม่อจื๊อยึดถือคำสอนที่ว่า ก่อให้เกิดสวัสดิภาพแก่คนส่วนใหญ่ และทำลายสิ่งชั่วร้าย(Moore, Charles A. ed. 1968. p 42. อ้างใน ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 33)

ปรัชญาของม่อจื๊อมีหลายอย่างที่แตกต่างกับปรัชญาเต๋าและปรัชญาขงจื๊อ จะเห็นได้จากปรัชญาชีวิต ปรัชญาเศรษฐกิจ และปรัชญาการเมืองของม่อจื๊อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

ม่อจื๊อเชื่อว่า ทุกคนต้องการความสุขเกลียดความทุกข์ดัวยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนจึงเหมือนกันดุจดังคำที่ว่า “ในสายตาของพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน” เมื่อธรรมชาติของทุกคนเหมือนกันอย่างนี้ ก็ควรที่จะปฏิบัติดีต่อกัน ช่วยเหลือกันโดยดำเนินการดังต่อไปนี้(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 105-106)

หัวใจของปรัชญาม่อจื๊ออยู่ที่ ความรัก ความรักดังกล่าว เป็นคุณธรรมสูงสุด และกว้างกว่าความเห็นอกเห็นใจหรือคุณธรรมแห่งความเมตตากรุณาของลัทธิขงจื๊อ ทั้งนี้เพราะถึงแม้ขงจื๊อจะสอนเรื่องความรักและความเมตตาระหว่างมนุษย์ แต่ความรักระหว่างมนุษย์ดังกล่าวไม่สามารถอยู่ในระดับที่เสมอภาคกันได้ การรักบิดามารดาของตนเองย่อมแตกต่างจากการรักบิดามารดาของเพื่อน การรักบิดาก็ย่อมแตกต่างจากการรักพี่รักน้อง แต่สำหรับม่อจื๊อ ความรักที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์ต้องมีความเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการลดหลั่นกันแต่ประการใดทั้งสิ้น ซึ่งเม่งจื๊อเคยกล่าววิจารณ์ว่า เป็นการทำลายธรรมชาติ และสัมพันธภาพในครอบครัว(ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 37)

แผ่ความรักความเมตตาอย่างเท่าเทียมกันต่อมนุษยชาติทั้งมวล หรือที่เรียกว่า ความรักสากล ม่อจื๊อมีความเห็นว่า คนเราควรมีความเห็นอกเห็นใจกัน เห็นทุกคนเป็นเสมือนตนเอง เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็ฉันนั้น หากใครทำใจได้ดังกล่าว การที่จะไปเบียดเบียนทำร้ายคนอื่นก็จะไม่เกิดขึ้น มีแต่จะเห็นใจกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 106) หรือหลักแผ่ความรักร่วมกัน มีประโยชน์สัมพันธ์กัน เรียกว่า เกียมเซียงไอ่เกาเซียงหลี(เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 123)

การแผ่ความรักความเมตตาไปยังมนุษยชาติทั้งมวล จะสามารถกำจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนทั่วไป ดังที่ม่อจื๊อกล่าวว่า

“บุคคลจะรักแคว้นอื่นเหมือนแคว้นของตน รักครอบครัวอื่นเหมือนครอบครัวของตน รักบุคคลอื่นเสมือนตัวเอง ถ้าพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นทั้งหลายมีความรักต่อกันแล้ว การสงครามก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเสนาบดีมีความรักต่อกัน การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจก็จะไม่มี ถ้าบุคคลมีความรักต่อกันแล้ว การลักขโมยก็จะไม่มี โจรที่ปล้นคนอื่นก็เพราะโจรมีความรักตนอย่างเดียว เห็นแก่ประโยชน์ตนฝ่ายเดียว หากโจรเห็นผู้อื่นเสมือนตัวเองแล้ว เขาก็จะไม่ปล้น และหากเห็นประโยชน์ของคนอื่นเสมือนประโยชน์ของตนแล้ว โจรก็เลิกเป็นโจร”

ดังนั้น ม่อจื๊อจึงสอนให้ทุกคนก่อนทำอะไรก็ขอให้ตั้งคำถาม ถามตัวเองก่อนว่า การกระทำนั้นเป็นความรักผู้อื่นด้วยหรือไม่ เป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมด้วยหรือไม่ ถ้าใช่ก็จงทำ ถ้าไม่ใช่ก็ขอให้ละเว้น อย่าไปคิดแต่ว่าตนเองจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ขอให้คิดว่าการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นก็เสมือนกับทำให้ตนเอง เพราะตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เกี่ยวเนื่องกับสังคม หากสังคมเป็นปกติสุข ตัวเองก็พลอยเป็นสุขไปด้วย ตรงกันข้าม ถ้าสังคมเดือดร้อน ตัวเองก็จะต้องมีความทุกข์เช่นกัน(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 107-108)

เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จะต้องมีคุณธรรม คือ แผ่ความรักความเมตตาอย่างเท่าเทียมกันต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นพื้นฐานมาก่อน หากปราศจากความความเมตตาสากลเสียแล้ว การมุ่งบำเพ็ญประโยชน์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณธรรมข้อนี้จึงเป็นผลของคุณธรรมข้อที่ 1 และก็เพราะการบำเพ็ญประโยชน์นี้เอง โลกจึงมีชีวิตชีวาน่าอยู่อาศัย ไม่มีคนอดอยากผอมโซหรือภาพที่น่าเวทนาทั้งหลาย ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนจะคอยช่วยเหลือกัน ดังที่ม่อจื๊อกล่าวว่า

“หูจะคอยฟัง ดวงตาจะคอยจ้องมอง เพื่อช่วยเหลือกัน แขนขาก็เสริมกำลังกันเพื่อทำงานช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนั้น คนสูงอายุ และหญิงม่ายก็จะได้รับการดูแลเลี้ยงดูตลอดอายุขัย เด็กกำพร้าที่อ่อนแอ และยากจนก็จะได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดู”(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 108)

ม่อจื๊อดูจะเป็นนักปรัชญาคนเดียวของจีนที่เชื่อว่ามีฟ้า หรือเทพเจ้า ตลอดถึงเชื่อว่ามีผีสางเทวดาคอยดูแลความเป็นไปของมนุษย์ เทพเจ้าจะประทานรางวัลให้แก่คนที่ทำความดี อย่างที่เรียกกันว่า สวรรค์บันดาล และลงโทษแก่คนที่ทำความชั่ว ดังที่เรียกว่า สวรรค์ลงทัณฑ์ ทั้งนี้ก็เพราะเทพเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้ทุกคนรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน ม่อจื๊อเชื่อว่า สุขทุกข์ของมนุษย์มาจากพระเจ้า พระองค์สามารถบันดาลให้ใครสุขใครทุกข์ก็ได้

ม่อจื๊อเชื่อว่า การที่โลกวุ่นวาย คนทำความชั่วมากขึ้นทุกทีก็เนื่องมาจากการไม่เชื่อว่ามีเทพเจ้าผีสางเทวดาเป็นต้นเหตุ เพราะการไม่เชื่อทำให้คนกล้าทำความชั่วมากขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับคนสมัยก่อนที่เชื่อในเรื่องผีสางเทวดาจึงมีคนดีมาก บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ผู้คนไม่กล้าทำความชั่ว เพราะกลัวผีสางเทวดา ดังคำที่ว่า ถึงคนไม่รู้ไม่เห็น แต่ผีสางเทวดาท่านรู้ท่านเห็น ม่อจื๊อได้ตำหนิคนสมัยนั้นอย่างรุนแรงที่ไม่ยอมเชื่อในเรื่องผีสางเทวดา ซึ่งกษัตราธิราชในอดีตเคยเคารพนับถือมาก่อน ม่อจื๊อได้ให้ข้อพิสูจน์ถึงความมีอยู่ของเทพเจ้าไว้อย่างง่ายๆ ว่า คนที่ทำความดีจะมีความสุข ส่วนคนที่ทำความชั่วจะมีความทุกข์ ได้รับความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ก็เพราะเทพเจ้าท่านบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนจึงควรเคารพยำเกรงเทพเจ้า เห็นความสำคัญของเทพเจ้า.. ความเห็นของม่อจื๊อในเรื่องนี้จึงตรงกันข้ามกับขงจื๊อ ที่ถือว่าเรื่องดังกล่าวตัวมนุษย์เองเป็นผู้กำหนด และไม่สนับสนุนให้เชื่อในเรื่องเทพเจ้ามากนัก แต่ม่อจื๊อกับสอนให้คนเชื่อเทพเจ้า และปฏิบัติตามประสงค์ของเทพเจ้า โดยเฉพาะผู้นำของประเทศจะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ ม่อจื๊อได้วางกฎไว้ 3 ข้อ สำหรับผู้นำของรัฐที่จะต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

1. เคารพและปฏิบัติตามความประสงค์ของเทพเจ้า

2. เคารพและปฏิบัติตามความประสงค์ของผีสางเทวดา

3. มีความเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 108-110)

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า เรื่องปากท้องของมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด การช่วยเหลือประชาชนอย่างรีบด่วนก็คือ การช่วยให้เขามีกินมีใช้ เมื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้องได้แล้ว เรื่องอื่นก็ง่ายที่จะแก้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจเป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งปวง ปัญหามีว่าคนเราจะอิ่มปากอิ่มท้องได้อย่างไร เรื่องนี้ม่อจื๊อสอนให้ขยันหมั่นเพียร ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก วิธีสำคัญที่จะบรรลุถึงจุดหมายนั่นก็คือ เลิกประเพณีนิยมและดนตรี ซึ่งอาจแบ่งเป็นข้อย่อยๆ ดังต่อไปนี้

สังคมในประเทศจีนสมัยก่อนและสมัยม่อจื๊อแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ชนชั้นสูงกับสามัญชน พวกชนชั้นสูง ได้แก่ ผู้ปกครองและพวกผู้มีการศึกษาดี เป็นผู้มีฐานะอยู่เหนือสามัญชน มีความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก ส่วนพวกสามัญชน ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และกรรมกรทั้งหลาย พวกนี้ไม่มีความเจริญก้าวหน้า มุ่งแต่ทำงานหารายได้มาเลี้ยงชนชั้นสูง

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า การแบ่งชนชั้นทำให้เกิดการแตกแยกและเป็นการกดขี่ ฝ่ายถูกปกครองจึงรณรงค์ต่อต้านเรื่องการแบ่งชนชั้น ประกาศถึงความเป็นธรรมในสังคม นอกนี้ม่อจื๊อก็เหมือนกับเหลาจื๊อ คือ ต่อต้านระบบศักดินาและชีวิตอันหรูหราของคนชั้นสูงในสมัยนั้น แต่จุดมุ่งหมายของม่อจื๊อก็แตกต่างกับเหลาจื๊อกล่าวคือ เหลาจื๊อสอนให้คนกลับเข้าหาธรรมชาติ ดำรงชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ แต่ม่อจื๊อมีความเห็นว่า สังคมอย่างนั้นมีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ สู้มีสังคมแบบมีระเบียบที่ดีงามไม่ได้  

ม่อจื๊อคัดค้านการจัดงานศพอย่างใหญ่โต และประเพณีการไว้ทุกข์ให้คนตาย ผิดกับขงจื๊อที่ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่บุตรหลานจะพึงกระทำ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี หากแสดงความอาลัยให้เต็มที่ก็จะต้องไว้ทุกข์ถึง 3 ปี ม่อจื๊อมีความเห็นว่า การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่การแสดงความกตัญญูกตเวที แต่เป็นการสิ้นเปลืองไร้สาระ แค่ฝังศพคนตายก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างฮวงซุ้ยให้ใหญ่โตสูญเงินไปเปล่าๆ ม่อจื๊อได้กล่าวถึงความสิ้นเปลืองของการจัดพิธีศพในยุคสมัยของเขาไว้ว่า

“แม้แต่สามัญชนธรรมดาตายลง ค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพนั้นก็มากมาย จนทำให้ครอบครัวยากจนแทบเป็นขอทาน ยิ่งกษัตริย์สิ้นพระชนม์ด้วยแล้ว จะต้องนำเอาทองและหยก ไข่มุกและเพชรนิลจินดามาวางไว้ข้างพระศพ ห่อศพด้วยผ้าแพรพรรณอันวิจิตร พร้อมทั้งนำรถม้า โต๊ะ เก้าอี้ กลอง ตุ่มไห ถ้วยชาม ขวานมีด ม่าน ฉาก ธง และวัตถุต่างๆ ที่ทำด้วยงาและหนัง เข้าไปฝังบรรจุไว้ในที่ฝังพระศพด้วย  ผลก็ คือ บ้านเมืองแทบจะไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่เลย” (ซิวไช,2523 : 287-288.อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 112) เพราะเหตุนี้ พิธีการทำศพ ม่อจื๊อจึงเห็นว่า เป็นประเพณีที่หายนะที่สุด (ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 110-112)

ม่อจื๊อกล่าวว่า การประกอบพิธีกรรมที่งดงาม รวมทั้งการไว้ทุกข์ที่ยาวนาน ย่อมนำไปสู่ผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ความยากจนของประเทศชาติ และความไร้ระเบียบของรัฐบาล(Moore, Charles A. ed. 1968. p 42-3. อ้างใน ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 34)

ม่อจื๊อถึงแม้จะเชื่อเรื่องเทพเจ้า แต่เขาก็ปฏิเสธเรื่องพรหมลิขิต พรหมลิขิตนั้นไม่มี มีก็แต่ตนลิขิตให้ตนเองเท่านั้น ใครทำกรรมอะไรไว้ก็จักได้รับผลกรรมนั้น กรรมหรือการกระทำจัดเป็นเครื่องมือบันดาลให้เป็นไป ทุกอย่างแก้ไขได้ให้ร้ายกลายเป็นดี ดังที่ม่อจื๊อยกตัวอย่างว่า

ในสมัยโบราณกาล พระเจ้าเจีย (Chieh) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์แห่ หรือเซีย ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย แต่กาลก่อนต่อมา พระเจ้าถัง (Tang) ผู้สถาปนาราชวงศ์เซียงก็สามารถทำให้สงบลงได้หรือเมื่อพระเจ้าโจ่ว (Chow) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซ้องทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน พระเจ้าหวู (Wu) พระราชโอรสของพระเจ้าเหวิน (Wen) ผู้สถาปนาราชวงศ์โจ่วก็สามารถจัดการให้สงบลงได้ ก็ในเมื่อบ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวายอย่างแสนสาหัสในสมัยของพระเจ้าเจียและพระเจ้าโจ่ว กลับสงบลงได้เพราะพระเจ้าถังและพระเจ้าหวู เมื่อเป็นอย่างนี้จะเรียกว่า มีพรหมลิขิตได้อย่างไร

ม่อจื๊อได้กล่าวถึงความเสียหายของการเชื่อพรหมลิขิตไว้ว่า

“ถ้าผู้ปกครองบ้านเมืองเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เขาก็จะไม่สนใจปกครองบ้านเมือง พวกเสนาบดีก็จะละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ประชาชนทั่วไปก็จะไม่เอาใจใส่ในการประกอบอาชีพ สตรีทั้งหลายก็จะไม่ใส่ใจเรื่องทอหูกปั่นฝ้าย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต ผลก็คือ โลกจะระส่ำระสาย ผู้คนจะเดือดร้อนเพราะขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม”

ทรรศนะของม่อจื๊อในเรื่องพรหมลิขิตแตกต่างจากทรรศนะของขงจื๊อ กล่าวคือ บางครั้งขงจื๊อจะพูดทำนองเชื่อว่ามีพรหมลิขิต พรหมลิขิตหรือชะตากรรม (หมิง-Ming) เป็นโองการสวรรค์ ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า

“คำสอนของข้าพเจ้าจะเผยแผ่ไปทั่วโลกได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องชะตากรรม ทำนองเดียวกันกับคำสอนของข้าพเจ้าจะเสื่อมสูญสลายไปหรือไม่ ก็เป็นเรื่องสุดแต่ชะตากรรมเช่นกัน”

ส่วนม่อจื๊อสอนว่า “ใครก็ตามหากมีความขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพ ไม่งอมืองอเท้ารอคอยพรหมลิขิตแล้ว ก็จะสามารถมีกินมีใช้อิ่มปากอิ่มท้องและตั้งเนื้อตั้งตัวได้” (ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 112-113)  

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า ดนตรีเป็นเรื่องสำรวยสำราญ เป็นความฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น จึงเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของคน เพราะฉะนั้น ม่อจื๊อจึงไม่สนับสนุนให้เรียนหรือหมกมุ่นกับดนตรี เพราะเป็นสิ่งเกินความจำเป็น ม่อจื๊อได้แสดงโทษของดนตรีไว้ 4 ข้อ คือ

1. ทำให้สิ้นเปลืองเงินทอง

2. ช่วยประชาชนให้พ้นจากความอดอยากไม่ได้

3. ไม่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้นได้

4. ทำให้ติดนิสัยเคยชินความเป็นบุคคลเจ้าสำราญฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

ความเห็นของม่อจื๊อต่อเรื่องดนตรีผิดกับทรรศนะของขงจื๊อกล่าวคือ ขงจื๊อให้ความสำคัญแก่ดนตรีมาก ถึงกับเข้าไปศึกษาดนตรีในรัฐชี้ ในขณะที่ศึกษาอยู่นั้น ขงจื๊อดื่มด่ำในดนตรีถึงกับลืมรสอาหารถึง 3 เดือน ชั่วชีวิตของเขาโดยเฉพาะก็ในคราวทุกข์ยาก ขงจื๊อจะใช้ดนตรีเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากตลอดมา ขงจื๊อมีความรู้เรื่องดนตรีมากจนได้รับเกียรติว่า เป็นปรมาจารย์แห่งดนตรี ขงจื๊อเชื่อว่า ดนตรีสามารถกล่อมเกลาจิตใจคนให้เป็นคนอ่อนโยน และเป็นคนดีได้ ส่วนม่อจื๊อเห็นว่า ทั้งดนตรีและพิธีทำศพเป็นการทำลายเศรษฐกิจ ทั้งเป็นการแบ่งแยกชนชั้นอีกด้วย(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 113-114)

ดังนี้ จะเห็นว่า เหตุผลที่ม่อจื๊อไม่ชอบใจดนตรีก็มิใช่สาเหตุมาจากเสียงของเครื่องดนตรีแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะดนตรีไม่สิ่งเสริมต่อสวัสดิภาพของประชาชน และขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ หรืออีกนัยหนึ่ง ม่อจื๊อเน้นผลประโยชน์ (benefits) ที่เป็นรูปธรรมมากนั่นเอง(ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 34)

นอกจากนี้ ม่อจื๊อยังกล่าวถึงผลเสียของดนตรีว่า ดนตรีที่ผู้ปกครองพอใจย่อมนำไปสู่การขูดรีดภาษีประชาชน ทำให้เกิดความยุ่งยากต่องานผลิตโดยการดึงนักดนตรีออกไปจากงานผลิตอื่นๆ และทำให้เสียเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เกิดความสับสนขึ้นในรัฐบาล(Moore, Charles A. ed. 1968. p 43. อ้างใน ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 35)

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า รัฐที่มีพลเมืองมากจะกลายเป็นรัฐใหญ่มีความมั่งคั่งและจะเจริญรุ่งเรือง เพราะพลเมืองจะช่วยกันให้พัฒนา เหตุนี้รัฐจึงจำต้องมีพลเมืองเพื่อเป็นกำลังของชาติ วิธีที่รัฐจะมีพลเมืองมากขึ้นก็โดยการที่รัฐออกกฎหมาย ให้ชายอายุ 20 ปี กับหญิงอายุ 15 ปี ควรมีครอบครัว ทรรศนะเรื่องเพิ่มประชากรของม่อจื๊อก็ทำนองเดียวกับขงจื๊อ คือ ขงจื๊อสนับสนุนชายอายุ 30 หญิงอายุ 20 แต่งงานกันเพื่อสืบสกุลเป็นกำลังของชาติ ข้อนี้ผิดกับทรรศนะของเหลาจื๊อที่ต้องการให้แต่ละรัฐมีพลเมืองน้อย ทั้งมีอาณาเขตไม่กว้างนัก จะได้ปกครองดูแลทั่วถึง ความเห็นเรื่องการเพิ่มจำนวนประชากรของม่อจื๊ออาจจะเหมาะสมกับสมัยนั้น เพราะพลเมืองของประเทศจีนยังมีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ของประเทศ แต่ทฤษฎีนี้ผิดพลาดมากหากจะนำมาใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เพราะประเทศจีนในปัจจุบันมีพลเมืองมากที่สุดในโลกคือ มีจำนวนมากกว่า 1,000 ล้านคน จนรัฐบาลจีนต้องรณรงค์ให้คุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ เช่น ลงโทษแก่คนที่มีลูกมาก เป็นต้น(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 114-115)

ปรัชญาการเมืองของขงจื๊อและม่อจื๊อถึงแม้จะแตกต่างกัน แต่นักปรัชญาทั้ง 2 ต่างก็ได้รับความบันดาลใจมาจากราชสำนักเช่นกัน กล่าวคือ ขงจื๊อนิยมยกย่องจิวก่ง ผู้สำเร็จราชการจากแคว้นโจว แต่ม่อจื๊อไม่เห็นด้วยกับขงจื๊อที่ใช้ฟื้นฟูธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมของราชวงศ์จิวหรือโจวมาปฏิบัติ ม่อจื๊อเห็นว่า สู้วัฒนธรรมของราชวงศ์แห่หรือเซีย(Hsia)ไม่ได้ วัฒนธรรมประเพณีของราชวงศ์แห่ดีที่สุด บุคคลในอุดมคติของม่อจื๊อ ก็คือ พระเจ้าอู๊หรือยู้ (Yu) ผู้สถาปนาราชวงศ์เซีย (ประมาณก่อน พ.ศ. 1762-1223 ปี) พระองค์ทรงเป็นที่กล่าวขานถึงความเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และทรงมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของพระองค์สูงมาก กล่าวกันว่า ในขณะที่พระองค์กำลังครุ่นคิดหาทางแก้ไขอุทกภัยอยู่นั้น พระองค์ถึงกับลืมเสวยอาหาร ไม่สนพระทัยแต่งพระกาย ดังคำที่ว่า “พระเจ้ายู้ทรงถือเอาการกรำฝนเป็นการสนานพระกาย ทรงถือเอาสายลมที่พัดผ่านมาเป็นหวีสยายพระเกศา ทรงถือเอาการตรากตรำลำบากจากการเดินทางเป็นเครื่องนวดพระกายให้อ่อนนุ่ม” น้ำพระทัยเสียสละของพระเจ้ายู้เป็นที่ประทับใจของม่อจื๊อมาก ม่อจื๊อจึงอุทิศตนเองดำเนินรอยตามพระเจ้ายู้ ด้วยเหตุนี้ ม่อจื๊อจึงดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย มุ่งมั่นสละความสุขส่วนตัวออกบำเพ็ญประโยชน์ต่อมนุษยชาติโดยเฉพาะผู้ยากไร้ ปรัชญาการเมืองของม่อจื๊อมีหัวข้อใหญ่ๆ ดังนี้ (ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 115-116.)

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า ความทุกข์ความเดือดร้อนของสังคมมาจากความเห็นแก่ตัว เมื่อคนมีความเห็นแก่ตัว เมื่อคนมีความเห็นแก่ตัวจะทำอะไรก็ทำแบบเห็นแก่ตัว ผลก็คือ ผู้อื่นจะเดือดร้อน และยิ่งขยายความเห็นแก่ตัวออกไป ความเดือดร้อนก็จะขยายตามไปด้วย เช่น ขยายออกมาสู่ครอบครัว สังคม ประเทศ เป็นต้น ก็กลายเป็นครอบครัวเห็นแก่ตัว สังคมเห็นแก่ตัว และประเทศเห็นแก่ตัว หากเป็นเช่นนี้ สันติภาพก็เป็นอันสิ้นหวัง แต่ตรงข้าม หากคนเราขจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้ โลกก็จะประสบสันติสุขอย่างแน่นอน เหตุนี้ม่อจื๊อจึงสอนให้คนปลูกความรักให้เกิดขึ้นต่อมนุษยชาติ โดยปลูกความรักให้เกิดขึ้นในตัวก่อน จากนั้นจึงขยายออกไปสู่ครอบครัว สังคม ประเทศ ตลอดถึงโลก ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน แล้วจะได้ไม่นำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้กัน ทั้งนี้ก็เพราะรักผู้อื่นเสมอกับตน รักครอบครัวอื่นอย่างกับครอบครัวของตน รักประเทศอื่นท่ากับประเทศของตน ตัวเองได้รับประโยชน์อย่างไรก็จงทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์อย่างนั้น ครอบครัวของตนได้รับประโยชน์อย่างไรก็ต้องให้ครอบครัวอื่นได้ประโยชน์อย่างนั้น และประเทศของตนได้รับประโยชน์อย่างไรก็จะต้องให้ประเทศอื่นได้ผลประโยชน์อย่างนั้นด้วย (ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 116-117.)

สมัยที่ม่อจื๊อยังมีชีวิตอยู่ ผู้ปกครองบ้านเมืองเล่นพรรค เล่นพวก ใครที่ไม่ใช่ญาติหรือพวกพ้อง ถึงจะมีความรู้ความสามารถเพียงไรก็จะไม่มีโอกาสเข้ารับราชการ หรือเข้ามาได้แล้วก็ไม่ได้เลื่อนให้มีตำแหน่งใหญ่โต ม่อจื๊อจึงสอนให้เลิกเล่นพรรคเล่นพวก แต่ให้ถือตัวคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นสำคัญ ม่อจื๊อเสนอให้รัฐบาลนำคนดีมีความรู้มาใช้ และปูนบำเหน็จยศถาบรรดาศักดิ์ให้ตามความเหมาะสม หลักการของม่อจื๊อในข้อนี้ดี จะทำให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ทรรศนะของม่อจื๊อในเรื่องนี้ก็ขัดกับปรัชญาเหลาจื๊อที่สอนว่า ความยุ่งยากของสังคมเกิดมาจากคนฉลาด เพราะฉะนั้นจึงไม่สนับสนุนให้คนศึกษาเล่าเรียน (ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 117)

ม่อจื๊อถือว่า ผู้นำไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์สมมติบัญญัติขึ้นเท่านั้น หากแต่เป็นความจริงตามธรรมชาติที่จะต้องมีขึ้น ดุจเดียวกับสัตว์เดรัจฉานทุกจำพวกจะต้องมีจ่าฝูงหรือหัวหน้า มันเป็นความจำเป็นโดยแท้ที่ต้องมีผู้นำในสังคมมนุษย์ เพราะสังคมมนุษย์จะขาดผู้นำหรือหัวหน้าไม่ได้ เพราะผู้นำย่อมเป็นที่รวมจิตใจของคนในสังคมนั้น ผู้นำเป็นหลักประกันความมั่นคงและความสงบสุขของสังคม หากขาดผู้นำเสียแล้ว ต่างคนต่างก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นประมาณ ทำให้เกิดความวุ่นวายไร้ระเบียบในสังคม ดังที่ม่อจื๊อกล่าวว่า

“ในสมัยปฐมบรรพ์นั้น มนุษย์ยังไม่มีกฎหมายและการปกครองไม่มีระเบียบประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกัน แต่ละคนจึงปฏิบัติตามใจของตน โดยนัยนี้ยิ่งมีคนมากก็มีความเห็นแตกต่างกันมาก และแต่ละคนขัดแย้งกัน ซึ่งนำไปสู่การเกลียดชังและการเป็นศัตรูกัน ผลก็คือ การเบียดเบียนกันจนถึงประหัตประหารกันก็ตามมา โลกจึงเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ต่อมาคนเกิดความเข้าใจว่า สาเหตุของความไม่สงบวุ่นวายนั้น มาจากการขาดหัวหน้าหรือผู้นำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงช่วยกันคัดเลือกบุคคลที่ฉลาด และสามารถที่สุดขึ้นเป็นโอรสแห่งสวรรค์หรือพระเจ้าจักรพรรดิ หลังจากนั้นก็ช่วยกันสรรหาบุคคลที่ฉลาดและสามารถรองลงมาเป็นเสนาบดี และอื่นๆ ตามลำดับ คอยช่วยเหลือผู้นำ ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกหัวหน้าจนถึงประมุข ช่วยกันขจัดความวุ่นวาย นำความสงบสุขร่มเย็นมาให้ประชาชน(ซิวไช, 2523 : 300-301.อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 118.)

ด้วยเหตุนี้ม่อจื๊อจึงถือว่า ผู้นำสำคัญที่สุดของประเทศ แต่โดยเหตุที่ผู้นำสามารถบันดาลได้ทั้งความเจริญหรือความเสื่อมให้แก่ประชาชน ประชาชนจึงจำต้องให้ความสำคัญในการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าเป็นพิเศษ ประชาชนจะต้องร่วมมือกันเฟ้นหาบุคคลที่ดีเด่นด้วยคุณธรรมและความรู้มาเป็นผู้นำ บุคคลที่จะมาร่วมทำงานกับผู้นำก็จะต้องคัดเลือกมาจากคนดีมีความรู้ดีเด่นเช่นกัน ตำแหน่งผู้นำสูงสุดตามปรัชญาขงจื๊อ ก็ทำนองเดียวกับประธานาธิบดี แต่ม่อจื๊อเรียกว่า จักรพรรดิหรือโอรสแห่งสวรรค์ แต่ม่อจื๊อไม่ได้บอกว่า เมื่อผู้นำสูงสุดสิ้นชีพแล้วจะดำเนินการอย่างไร จะเลือกตั้งใหม่หรือใช้แบบสืบสันติวงศ์(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 119)

ม่อจื๊อ สอนให้ทำตามผู้นำ เรียกว่า เสียงท้ง สอนให้เชื่อผู้นำ ทำตามคำสั่งของผู้นำ เขาเห็นว่า ถ้ารัฐได้ผู้นำที่ดี ปฏิบัติตามกฎรัฐร่วมกัน มีประโยชน์สัมพันธ์กันก็เป็นใช้ได้ (เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 126)

ม่อจื๊อเทิดทูลสันติภาพ และความยุติธรรมเป็นอย่างมาก จึงถือเป็นหน้าที่ที่ต้องดำรงรักษาสันติภาพและความยุติธรรมไว้ให้ได้ ม่อจื๊อมีความเห็นว่า สงครามเป็นการทำลายล้างทั้งสันติภาพและความยุติธรรม สงครามจึงเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่จำต้องกำจัดให้หมดไป และการที่จะให้สัมฤทธิ์ผลดังกล่าวก็เห็นมีอยู่วิธีเดียว คือ การใช้กำลังทหารเข้าสนับสนุนการพูด และเนื่องจากม่อจื๊อมีความรู้ทางพิชัยสงคราม และชำนาญในการช่าง เขาจึงตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพชั้นเยี่ยมขึ้นมาได้ กองกำลังก็ไม่ได้เอามาจากไหน ก็ใช้สาวกของตนนั่นเอง ม่อจื๊อมีสาวก 300 คน และในจำนวนนี้มีผู้ยอมเสียสละทุกอย่างแม้ชีวิตก็สละได้เพื่อม่อจื๊อถึง 180 คน

ม่อจื๊อคิดว่า การใช้กำลังเป็นอำนาจต่อรองนั้นแหละจึงจะได้ผล ทำนองเดียวกับเจรจากับโจรไม่ให้ปล้นบ้าน เจ้าของบ้านก็จำต้องแสดงกำลังให้โจรเกรงกลัวจึงจะสามารถยับยั้งโจรได้ ม่อจื๊อจึงทำตัวเหมือนตำรวจโลก คอยสอดส่องว่ารัฐไหนจะไปรุกรานรัฐอะไร เมื่อทราบแล้วม่อจื๊อก็จะรีบไปเกลี้ยกล่อมรัฐที่จะไปรุกรานให้เห็นโทษของสงครามแล้วล้มเลิกเสีย หากรัฐนั้นไม่ยอมฟัง ม่อจื๊อก็จะใช้กองกำลังของตนเข้าช่วยเหลือรัฐที่รุกราน(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 121)

ม่อจื๊อ ค้านการสงครามรุกราน แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก โดยชี้ให้เห็นโทษของการรุกราน ด้วยเหตุผลน่าฟัง ดังต่อไปนี้

“มีคนหนึ่งเข้าไปในสวนผลไม้ของคนอื่น แล้วลักผลไม้มาเป็นของตน ชาวบ้านรู้เข้าย่อมไม่พอใจขโมยคนนั้น รัฐก็ต้องลงโทษตามระบิลเมือง ข้อนี้ก็เพราะเป็นการกระทำที่เสียหายต่อผู้อื่น ต่อมามีคนที่ 2 เข้าไปลักปศุสัตว์ของชาวบ้าน ผู้นั้นชื่อว่าได้ทำผิดยิ่งกว่าคนที่ 1 ต่อมามีคนที่ 3 เข้ามาทำการปล้นทรัพย์ฆ่าฟันทำร้ายผู้อื่น ก็ชื่อว่าทำความผิดร้ายแรงยิ่งกว่ารายก่อนๆ ข้อนี้เป็นเพราะอะไร ก็เพราะเป็นการทำความเสียหายให้แก่ผู้อื่นเป็นอย่างมาก คนยิ่งทำความเสียหายแก่คนอื่นมากเท่าไร ก็ย่อมแสดงว่าใจขาดความดีงามมากขึ้นเท่านั้น โทษที่พึงจะได้รับก็จะต้องหนักขึ้นตามไปด้วย คนที่ทำความไม่ดี ย่อมเป็นที่ติเตียนของคนดีทั้งหลาย แต่ยังมีความเลวร้ายที่หนักกว่าการกระทำดังกล่าวมาทั้งหมด นั่นก็คือ รัฐที่ชอบเที่ยวทำสงครามรุกรานรัฐอื่น แต่เรากลับทำเป็นไม่เห็น มิหนำยังกลับสรรเสริญว่า เป็นการกระทำที่ชอบธรรมเสียอีก ช่างน่าเศร้าใจจริงๆ”(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 124)

ม่อจื๊อบำเพ็ญตนเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม โดยถือเอาความเสียหายมากน้อยของสังคมเป็นเครื่องกำหนดโทษ ในทรรศนะของม่อจื๊อแล้ว พวกนักรุกรานทั้งหลาย คือ จอมปล้นประเทศ(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 125.) ม่อจื๊อไม่ย่อมสดุดีชัยชนะของคนเหล่านี้ว่าเป็นวีระกรรมเป็นอันขาด เขาเรียกพวกนี้ว่าเป็นนักโทษของมนุษยชาติ(เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 125)

จริยมาตรฐาน หมายถึง เกณฑ์การวินิจฉัยว่าอะไรดีอะไรชั่ว ในปรัชญาของม่อจื๊อมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ ในการที่จะตัดสินใจลงไปว่า สิ่งใดดี สิ่งใดชั่วนั้น จะยึดถืออะไรเป็นเกณฑ์วินิจฉัยต่อปัญหานี้ ม่อจื๊อแสดงทรรศนะว่า จะต้องถือหลัก 3 ประการเป็นเกณฑ์วินิจฉัยหรือตรวจสอบ

1. ไม่ขัดกับเจตจำนงของสวรรค์ของเทพวิญญาณ และจรรยาวัตรของพระบูรพมหากษัตริยาธิราช (The ancient sage-kings)

2. ไม่ขัดกับเจตจำนงสาธารณะ นั่นคือข้อเท็จจริงอันเป็นมติมหาชน

3. เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน

บรรดาเกณฑ์ตรวจสอบทั้งสามประการนี้ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ถือว่าเป็นข้อสำคัญที่สุดและเป็นเกณฑ์ที่ม่อจื๊อใช้พิสูจน์ตรวจสอบคุณค่าด้านต่างๆ เสมอมา จึงอาจกล่าวได้ว่า ทรรศนะของม่อจื๊อในเรื่องว่าด้วยเกณฑ์การวินิจฉัยคุณค่านี้มีลักษณะเป็น ประโยชน์นิยม (Utilitarianism)คือ ปรัชญาที่ถือเอาผลของการกระทำ หรือผลที่พึงจะได้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่า ดี-ชั่ว (น้อย  พงษ์สนิท.ผศ.,ม.ป.ป. : 43)

ม่อจื๊อโจมตีขงจื๊อที่พูดถึงสวรรค์น้อย คุณธรรมเยิ้น ของขงจื๊อจึงไม่มีพื้นฐานรองรับที่แน่นหนา เพราะคุณธรรมดังกล่าวอยู่ในตัวมนุษย์ มนุษย์เป็นศูนย์กลางของความดี และเป็นต้นกำเนิดของคุณธรรม แต่ ความรักสากล ของม่อจื๊อ เป็นคุณธรรมที่มีพื้นฐานมาจากพระเจ้า กล่าวคือ ความรักสากลเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์ (The Will of Heaven) ม่อจื๊อจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้พิทักษ์ศาสนา หรือรื้อฟื้นเรื่องสวรรค์ให้มีชีวิตชีวา หลังจากที่ฝ่ายลัทธิขงจื๊อเอ่ยถึงน้อยเกินไป

เนื่องจากหลักประโยชน์นิยม และหลักการศาสนาของเขา ทำให้ม่อจื๊อมีวิถีชีวิตในทางทุกข์นิยม(asceticism) มีแต่ระเบียบและปฏิเสธตนเองและค่อนข้างยากที่จะหาบุคคลผู้อุทิศตนเพื่อคนอื่น เช่นม่อจื๊อ และการจะนำมนุษย์ไปสู่ความสงบและสันติสุขตามวิถีทางของม่อจื๊อคงเป็นไปได้ยาก ลัทธิม่อจื๊อ (Moism หรือ Moist School)ได้พัฒนาขึ้นหลังจากม่อจื๊อเสียชีวิตและกลายเป็นสำนักทางศาสนาไป เป็นสำนักที่มีระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวด ภายใต้การนำของหัวหน้าสำนัก แต่ความเข้มงวดของหลักปฏิบัติ ทำให้สำนักนี้สืบต่อได้ประมาณสองศตวรรษก็สลายตัว (ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 37)

สรุปได้ว่า หัวใจของปรัชญาม่อจื๊ออยู่ที่ความรักความเมตตาต่อมนุษยชาติ ปรารถนาจะให้ทุกคนมีความสุข โดย ให้คนเห็นคุณค่าของความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แล้วปลูกฝังหลักปรัชญานี้ให้เกิดมีขึ้นในสันดาน เลิกการแบ่งแยกชนชั้น ให้ถือทุกคนเป็นพี่น้องกัน มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ขยันหมั่นเพียร ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย และประหยัด การขยันทำให้มีทรัพย์สินเพิ่ม การประหยัดก็ช่วยเพิ่มทรัพย์ได้เช่นกัน เลิกการใช้ฟุ่มเฟือย และล้มเลิกประเพณีที่สิ้นเปลือง โดยเฉพาะก็พิธีทำศพ ซึ่งสิ้นเปลืองมากทั้งเงินและเวลา เรื่องดนตรีก็เช่นกันควรละเว้นเสีย เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองทั้งเงินทั้งเวลาแล้ว ยังเป็นการเพาะนิสัยความสำรวยสำราญอีกด้วย นอกจากนี้ ประเพณีหรูหราฟุ่มเฟือย และดนตรียังเป็นการแบ่งแยกชนชั้นทำให้คนชั้นสูงหาความสุขบนความทุกข์ของคนชั้นต่ำอีกด้วย เลิกเชื่อโชคชะตาหรือพรหมลิขิต แต่ให้เชื่อว่า ตนนั่นแหละเป็นผู้ลิขิตทุกอย่าง ไม่ว่าเป็นความเจริญหรือความเสื่อมตนเองเป็นผู้บันดาลให้ทั้งนั้น  และเชื่อในเรื่องของเทพเจ้า ผีสาง เทวดา เพราะความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของผีสางเทวดาเท่านั้น จะทำให้คนรักทำความดี หนีการทำความชั่วทั้งต่อหน้า และลับหลัง อันจะเป็นผลให้การแผ่ความรักเมตตาเป็นไปได้อย่างจริงจัง ดังนั้น หลักปฏิบัติดังกล่าวของม่อจื๊อ คือ หลักประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ของ Stuart Mill นั่นเอง ม่อจื๊อจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้พัฒนาปรัชญาประโยชน์นิยมขึ้นในระบบปรัชญาจีนนั่นเอง

------------------------------------------------------------

เอกสารและสิ่งอ้างอิง

 

จำนง  ทองประเสริฐ. 2537. บ่อเกิดลัทธิประเพณีจีน ภาค 1 – 3, พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.

ซิวไซ. 2523. ปรัชญาจีน, แปลโดย สกล  นิลวรรณ จาก The Story of Chinese Philosophy.พระนคร : โอเดียนสโตร์.

น้อย  พงษ์สนิท,ผศ.,ม.ป.ป. ปรัชญาจีน. กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นติ้ง, ศูนย์ส่งเสริมตำรา

และเอกสารวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534. ปรัชญาจีน CHINESE PHILOSOPHY PY 225, พิมพ์ครั้งที่ 3,

กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ฟื้น  ดอกบัว. 2555. ปางปรัชญาจีน, พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์.

เสถียร  โพธินันทะ. 2506. เมธีตะวันออก. พิมพ์ครั้งที่ 1, พระนคร : สำนักพิมพ์บรรณาคาร,ก.ศ.ม.

----------------------. 2544. เมธีตะวันออก. พิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ : สรรค์บุ๊ค.

 

Fung, Yu-Lan. 1970. The Spirit of Chinese Philosophy. Westport, Connecticut :

Greenwood Press.

Moore, Charles A. ed. 1968.  The Chinese Mind. Honolulu, East – West Center Press.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โลกทัศน์ทางพุทธศาสนา

Amazing🤩 Our Second Day We Stay In The Deep Sea And Caught Lot Of Tuna F...#HTML