ศาสนาบาบี และบาไฮ
เรียบเรียงโดย สภายุวมุสลิมโลก
แปลโดย : อันวา สะอุ / Islam house
อัล-บาบิยะฮฺ และอัล-บะฮาอิยะฮฺ คือ
ลัทธิที่แยกตัวจากสำนักคิดชีอะฮฺสายอัช-ชัยคียะฮฺ เมื่อปี ฮ.ศ.1260 / ค.ศ.1844 ภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูของจักรวรรดินิยมโซเวียต องค์กรยิวสากลและจักรวรรดินิยมอังกฤษ
โดยมีเป้าหมายหลัก คือ ทำลายหลักการศรัทธาของอิสลาม สร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิม
และเพื่อให้ชาวมุสลิมหันเหจากปัญหาหลัก
การก่อกำเนิดแนวคิด ลัทธินี้ก่อตั้งโดย
อัล-มิรซาอะลีย์ มุหัมหมัด ริฎอ อัช-ชีรอซีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ.1235 -1266 /
ค.ศ.1819 - 1850) มีฉายานามว่า อัล-บาบ
(ชาวบาไฮในประเทศไทยเรียกว่า พระบ็อบ) เมื่อตอนอายุ 6 ขวบ อัล-มิรซาอะลีย์
มุหัมหมัด ริฎอ อัช-ชีรอซีย์
ได้ศึกษาความรู้ครั้งแรกจากนักเผยแพร่นิกายชีอะฮฺท่านหนึ่ง ต่อมาเขาได้หยุดเรียน และหันไปประกอบอาชีพค้าขาย
เมื่ออายุ 17 เขาได้กลับมาศึกษาหาความรู้อีกครั้งโดยสนใจในตำราเกี่ยวกับวิชาตะเศาวุฟ
และการฝึกฝนทางจิตวิญญาณตามแนวทางของพวกอัล-บาฏินียะฮฺ ที่นิยมการทรมานร่างกาย
ในปี ฮ.ศ. 1259 เขาได้เดินทางไปยังกรุงแบกแดด
และได้เริ่มศึกษาหาความรู้จากผู้นำชีอะฮฺ สายอัช-ชัยคียะฮฺ ซึ่งมีนามว่า กาซิม
อัร-ร็อชตีย์ เขาได้ศึกษาแนวคิด และทัศนะต่างๆ ของลัทธินี้อย่างลึกซึ้ง
จนกระทั่งเขาได้รู้จักกับสายลับชาวรัสเซียคนหนึ่ง ชื่อว่า คินาซด์ ฆุรกีย์ เขาคนนี้ได้อ้างตนว่า เป็นมุสลิมโดยใช้ชื่อว่า
อีซา อัน-นักรอนีย์ เขาผู้นี้ได้เริ่มสร้างกระแสว่า อัล-มิรซา มุหัมหมัด
อัช-ชีรอซีย์ คือ อิหม่ามอัล-มะฮฺดีย์ ที่โลกรอคอย และเป็นอัล-บาบ (ประตูสู่การรู้จักสัจธรรมเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า)
ซึ่งจะปรากฎตัวหลังการเสียชีวิตของอัร-ร็อชตีย์ ทั้งนี้เนื่องจากเขามองว่า อัช-ชีรอซีย์
เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่จะอุปโลกน์เพื่อให้แผนการของพวกเขาบรรลุผลในการสร้างความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม
คืนวันพฤหัสบดีที่ 5 ญุมาดัลเอาวัล ฮ.ศ.1260 ตรงกับ 23 มีนาคม 1844
เขาได้ประกาศตนว่าเขาคือ อัล-บาบ ตามความเชื่อของชีอะฮฺ สายอัช-ชัยคียะฮฺ
หลังการเสียชีวิตของอัร-ร็อชตีย์ เมื่อปี ฮ.ศ. 1259
เขาอ้างตนว่า เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ เสมือนกับท่านนบีมูซา นบีอีซา และนบีมุหัมมัด
(แท้จริงแล้วบรรดาศาสนทูตของพระองค์มีเกียรติอันสูงส่งไม่สามารถนำมาเปรียบกับเขาได้เลย)
จากคำกล่าวอ้างดังกล่าวทำให้ศิษย์ของอัร-ร็อชตีย์
หลงเชื่อและผู้คนทั่วไปพากันหลงเชื่อด้วยเขาจึงเลือกบุคคลจำนวน 18 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่แนวคิดของเขา
โดยให้ฉายานามบุคคลเหล่านั้นว่า อัล-หุรูฟ อัล-หัยย์ (อักษรที่มีชีวิต) แต่เมื่อปี
ฮ.ศ. 1261 พวกเขาได้ถูกทางการจับกุมตัว
และในที่สุดพวกเขายอมประกาศเตาบัต (กลับตัว) บนมินบัรฺมัสยิดอัล-วะกีล
หลังจากที่พวกเขาได้สร้างความเสื่อมเสียบนหน้าแผ่นดิน เข่นฆ่าชาวมุสลิมมากมาย
ตลอดจนกล่าวหาว่า ชาวมุสลิม กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
ในปี ฮ.ศ.1266 อัล-มิรซาอะลีย์ มุหัมหมัด
ริฎอ อัช-ชีรอซีย์ (อัล-บาบ หรือพระบ็อบ) ได้อ้างว่า พระผู้เป็นเจ้าได้สถิตย์ในร่างของตน
(หุลูล อิลาฮิยะฮฺ) แต่หลังจากปราชญ์มุสลิมได้โต้เถียงกับเขาถึงประเด็นนี้เขาได้แสดงท่าทีว่า
ยอมรับ และกลับตัว แต่ปราชญ์มุสลิมไม่ได้หลงกล
เนื่องจากรู้ว่าเขาผู้นี้เป็นคนขี้ขลาดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริง ดังนั้น ปราชญ์มุสลิมได้ตัดสินให้ประหารชีวิตเขา
และสหายของเขา อัซ-ซะนูซีย์ ส่วนผู้บันทึกคำสอนของเขาที่ชื่อว่า หุสัยน์
อัล-ยัซดีย์ ได้เตาบัต (กลับตัว) จากลัทธิอัล-บาบิยะฮฺ
ก่อนที่จะถูกประหารทำให้เขาได้อิสรภาพไม่ต้องโทษ เมื่อวันที่ 27 ชะอฺบาน 1266 ตรงกับวันที่ 8
กรกฎาคม 1850
บุคคลสำคัญของอัล-บะฮาอิยะฮฺ
1. กุรเราะฮฺ อัล-อัยนฺ
ซึ่งมีชื่อจริงว่า อุมมุ สัลมา ถือกำเนิด ณ เมืองก็อซวีน เมื่อปี ฮ.ศ. 1231 ได้ศึกษาหาความรู้จากมุลลา มุหัมหมัด ศอลิหฺ อัล-ก็อซวีนีย์
หนึ่งในปราชญ์ชีอะฮฺ ต่อมาได้สนใจศึกษาแนวทางชีอะฮฺสายอัช-ชัยคียะฮฺ
ผ่านลุงของนางเอง คือ มุลลา อะลีย์ อัช-ชัยคีย์
นางได้รับอิทธิพลทางความคิดจากชีอะฮฺกลุ่มนี้ ต่อมานางได้เดินทางมาศึกษาจาก กาซิม
อัร-ร็อชตีย์ พร้อมอัล-บาบ ณ เมืองกัรบะลาอ์
(ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก)จนมีคนเข้าใจว่า นาง คือ ผู้ออกแบบแนวความคิดต่างๆ
ให้แก่อัล-บาบ
เนื่องจากนางเป็นนักพูดที่ชาญฉลาดมีวาทะโวหารที่ปราดเปรื่อง
อีกทั้งเป็นผู้ที่มีความเลอโฉมงดงาม แต่นางก็ถือว่า เป็นหญิงแพศยา
สามีของนางได้ขอหย่า และปฏิเสธการเป็นบิดาของลูกที่อยู่ในครรภ์ของนาง
นางได้รับฉายานามว่า "เราะซีน ตาญจ์" เจ้าของบทกวีภาษาเปอร์เซีย
ในเดือนเราะญับ ปี ฮ.ศ. 1264
นางได้ประชุมหารือกับแกนนำลัทธิอัล-บาบิยะฮฺ ณ เมืองบะดัชต์ (Conference of
Badasht) นางเป็นผู้ที่กล่าวสุนทรพจน์
และสร้างความฮึกเหิมแก่มวลสมาชิกอัล-บาบิยะฮฺเพื่อออกมาประท้วงการจับกุมอัล-บาบ
และได้ประกาศจุดยืนว่า อัล-บาบิยะฮฺได้เป็นอิสระจากศาสนาอิสลามแล้ว
นางเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมวางแผนลอบสังหารกษัตริย์
ชาฮ์ นาศีรุดดีน อัล-กอญารีย์ (Nasser
al-Din Shah Qajar- กษัตริย์ผู้ปกครองประเทศอิหร่าน ระหว่างปี ค.ศ.1848 - 1896) ต่อมานางได้ถูกจับกุม และถูกตัดสินให้เผาเป็นๆ
แต่ทว่านางได้เสียชีวิตก่อนจะถูกประหารในต้นเดือนซุลเกาะอฺดะฮฺ ฮ.ศ. 1268 ตรงกับ ค.ศ. 1852
2. อัล-มิรซา ยะหฺยา อะลีย์ มีศักดิ์เป็นน้องชายของอัล-บาบ
มีฉายานามว่า ศุบฮฺ อะซัล
อัล-บาบได้สั่งเสียให้เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำแทนเขาหลังเสียชีวิตเรียกขานผู้ตามของเขาว่า
อัล-อะซัลลิยีน แต่น้องชายของเขา อัล-มิรซา หุซัยนฺ อัล-บะฮาอ์ ต้องการชิงตำแหน่งผู้นำลัทธินี้เช่นกัน
และต่างคนพยายามที่จะลอบสังหารกัน
ความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอัล-บาบิยะฮฺกับพวกชีอะฮฺ
ทำให้พวกเขาต้องถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองอัดเราะนะฮฺ (Edirne) ประเทศตุรกี เมือปี
ฮ.ศ.1863 อันเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวยิว และด้วยเหตุที่พลพรรคของศุบฮฺ อะซัล
และพลพรรคของบะฮาอุลลอฮฺเกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง
สุลต่านแห่งอาณาจักรออตโตมานได้เนรเทศ
บะฮาอุลลอฮฺพร้อมมวลชนของเขาไปอยู่ที่เมืองอักกา ส่วน ศุบฮฺ
อะซัลและมวลชนของเขาถูกเนรเทศไปยังเกาะไซปรัส จนเขาได้เสียชีวิตที่นั้น
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 1912 ด้วยวัย 82 ปี โดยได้ทิ้งตำราที่เขาแต่ง คือ อัล-อัลวาหฺ และ ตำราอัล-มุสตัยกิซ
และได้สั่งเสียให้บุตรชายของเขาที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์สืบทอดตำแหน่งผู้นำกลุ่มต่อไป
จึงทำให้สมุนของศุบฮฺ อะซัลส่วนใหญ่ไม่พอใจ และได้ออกห่าง
3. อัล-มิรซา หุสัยนฺ อะลีย์
ซึ่งมีฉายานามว่า บะฮาอุลลอฮฺ ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ.1817
ได้ชิงตำแหน่งผู้นำลัทธิอัล-บาบิยะฮฺจากพี่ชายของเขาหลังจากการเสียชีวิตของอัล-บาบ(พระบ็อบ)
เขาได้ประกาศตนต่อหน้าสานุศิษย์ของเขาที่กรุงแบกแดด ว่าเขาคือ อัล-มุซ็อฮฮิรฺ
อัล-กามิล ผู้ซึ่งอัล-บาบได้พยากรณ์ว่าเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ และพระผู้เป็นเจ้าได้สถิตย์ในร่างของเขาเพื่อสานต่อภารกิจการเผยแพร่ลัทธิอัล-บาบิยะฮฺ
ต่อไป
การเผยแพร่ของเขาถือว่า เป็นการเผยแพร่ในบันไดขั้นที่สองในหลักความเชื่อศาสนาบาบี
(ผู้ที่เลื่อมใสในคำสอนของเขาเรียกว่า บะฮาอิยูน หรือพวกบาไฮ)
เขาพยายามที่จะลอบสังหารศุบฮฺ อะซัล ซึ่งเป็นพี่ชายของเขาเอง
เขามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับชาวยิวที่อยู่ในตำบลอัดเราะนะฮฺ (Edirne) เมืองสาโลนิกา (Salonika)
ประเทศตุรกี อันเป็นแผ่นดินที่ชาวบาไฮ เรียกว่า แผ่นดินแห่งความลับ
เขาได้ส่งมือสังหารจากเมืองนั้นไปยังเมืองอักกา และได้ทำการสังหารพลพรรคของพี่ชายของเขาศุบฮฺ
อะซัล ล้มตายหลายราย
ในปี ค.ศ.1892
บะฮาอุลลอฮฺได้ถูกสังหารด้วยน้ำมือของสมุนพี่ชายของเขาเอง และร่างของเขาถูกฝังที่
สวนอัล-บะฮฺญะฮฺ เมืองอักกา (ประเทศปาเลสไตน์) เขามีผู้ทำหน้าที่เขียนคัมภีร์ให้เขา
เช่น คัมภีร์อัล-บะยาน (Kitab al-Bayan) และ คัมภีร์อัล-อีกอน
(Kitab al-Iqan) คัมภีร์ของเขามีเนื้อหาเรียกร้องให้ชนชาติยิวมารวมตัวกันตั้งถิ่นฐาน
ณ ดินแดนปาเลสไตน์
4. อับบาส อะฟันดีย์ มีฉายานามว่า
อับดุลบะฮาอ์ เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1844 ซึ่งเป็นวันเดียวกันที่อัล-บาบ ได้ประกาศลัทธิใหม่นี้ บิดาของเขา (บะฮาอุลลอฮฺ)ได้สั่งเสียให้เขาสืบทอดตำแหน่งผู้นำ
เขาเป็นผู้ที่มีบุคลิกที่จริงจังมาก จนกระทั่งนักประวัติศาสตร์กล่าวว่า หากไม่มีอับบาส
ศาสนาบาไฮคงไม่สามารถดำรงอยู่ได้จนทุกวันนี้
ชาวบาไฮเชื่อว่า เขาเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากมวลบาป
(มะอฺศูม)เขาได้เพิ่มเติมคุณลักษณะบิดาของเขาบะฮาอุลลอฮฺ
ให้คล้ายกับพระผู้เป็นเจ้า คือ สามารถที่จะบันดาลสรรพสิ่งขึ้นมาได้ อับบาส
อะฟันดีย์ ได้เดินทางเยือนประเทศสวิสเซอร์แลนด์
พร้อมได้เขาร่วมประชุมสมัชชาไซออนนิสต์ ณ เมืองบาเซิล (Basle)
ในปี ค.ศ.1911
เขาได้พยายามที่จากแหกมติชนชาติอาหรับโดยหันไปสนับสนุนยิวไซออนิสต์
เขาให้การต้อนรับนายพลอัลเลนบี้ (General Edmund Allenby-แม่ทัพของอังกฤษที่มายึดครองปาเลสไตน์และซีเรียเมื่อปี
ค.ศ.1917) ครั้งที่เดินทางมาที่ปาเลสไตน์
จนรัฐบาลอังกฤษชื่นชมบทบาทของเขาด้วยการยกฐานะเป็นเซอร์ (Sir -เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งให้กับสามัญชนผู้มีความดีความชอบให้กับแผ่นดินมากซึ่งในอดีตก็จะเป็นอัศวินนักรบ)พร้อมทั้งประดับเครื่องอิสริยาภรณ์
และสายสะพายอื่นๆ มากมาย
เขาได้เดินทางเยือนหลายประเทศ เช่น
อังกฤษ อเมริกา เยอรมัน เบลเยียม ฮังการี อะเล็กซานเดรีย (อียิปต์)
เพื่อทำการเผยแพร่ลัทธิของเขา จนกระทั่งเขาได้ก่อตั้งศูนย์ศาสนาบาไฮที่ใหญ่โต ณ
เมืองชิคาโก ต่อมาเขาเดินทางไปยังเมืองฮัยฟา(ปาเลสไตน์) เมื่อปี 1913 ต่อมาเขาเดินทางไปยังกรุงไคโร
และเสียชีวิตที่นั้นเมื่อปี ฮ.ศ.1340 / ค.ศ.1921 หลังจากที่เขาได้ถ่ายถอดความรู้จากบิดาของเขา
พร้อมทั้งได้เพิ่มเติมคำสอนจากคัมภีร์ไบเบิลพันธะสัญญาเก่า
เพื่อเป็นการยืนยันในคำสอนของเขาให้มีน้ำหนัก
5. เชากีย์ อะฟันดีย์
เป็นหลานของอับดุลบะฮาอ์ ปู่ของเขาได้จากโลกนี้ไปในขณะที่เขามีอายุ 24 ปี ในปี 1921 / ฮ.ศ.1340
เขาได้ดำเนินตามรอยทางปู่ของเขาในการบริหารองค์กรบาไฮ เพื่อก่อตั้งสภายุติธรรมสากล
เขาได้เสียชีวิตที่กรุงลอนดอนจากหัวใจวาย และร่างของเขาถูกฝังที่นั้น
แผ่นดินที่รัฐบาลมอบรางวัลมากมายแก่กลุ่มชาวบาไฮ
ในปี ค.ศ.1963 แกนนำบาไฮ 9 คน ได้ดำเนินการตามภารกิจของอัล-บะฮาอิยะฮฺ
ด้วยการก่อตั้งสภายุติธรรมสากล (The Universal House of Justice)โดยมีคณะกรรมการบริหารจำนวน 9 คน ประกอบด้วย
ชาวอเมริกา 4 คน ชาวอังกฤษ 2 คน
และชาวอิหร่าน 3 คน และเคยมีผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภา
แห่งนี้เป็นชาวยิวฟรีเมสัน สัญชาติอเมริกา
-------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น