ปรัชญาบัคจื๊อ(Bug-Tzu)หรือม่อจื๊อ(Mo-Tzu)

 


ปรัชญาบัคจื๊อ (Bug - Tzu) หรือม่อจื๊อ (Mo - Tzu)

บรรดา ปรัชญาเมธีร้อยคน ของจีนสมัยโบราณนั้น ม่อจื๊อ นับว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ เมื่อ เม่งจื๊อ (Mencius) รู้สึกว่าจะต้องป้องกัน และทำให้ลัทธิขงจื๊อกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ตัดปรัชญาของม่อจื๊อออกในฐานะที่อยู่ในกลุ่มศัตรูที่เป็นอันตรายที่สุดของลัทธิขงจื๊อ แม้ว่าลัทธิของม่อจื๊อจะตั้งหลักมั่นอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ม่อจื๊อและคำสอนของท่านก็ได้ทิ้งรอยประทับไว้ในจิตใจของชาวจีนจนไม่อาจสามารถที่จะลบให้หมดไปได้ ทุกวันนี้คำสอนของม่อจื๊อ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้เตือนให้ระลึกถึงว่าเราจะบรรลุถึงความสุขสูงสุดอันเป็นนิรันดรแห่งความคิดเห็นแบบขงจื๊อ โดยอาศัยการละเลยต่อหน้าที่หรือความเฉื่อยชาในด้านพุทธิปัญญาได้ไม่ง่ายเลย แต่เราจะชนะได้ก็โดยอาศัยการต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากเย็นกับฝ่ายตรงข้ามที่มีคุณค่าสูงเท่านั้น(จำนง  ทองประเสริฐ. 2537 : 49)

ปรัชญาม่อจื๊อมีความเกี่ยวพันอย่างมากกับเหตุการณ์ทางการเมือง สังคม และจริยธรรมของสังคมในสมัยนั้น สังคมจีนในช่วงระยะที่มีการปกครองแบบระบบขุนนาง (Feudalism) ในสมัยราชวงศ์โจว กษัตริย์ เจ้าฟ้าและพวกขุนนาง ต่างมีทหารประจำตัวหรือประจำตระกูล แต่ในช่วงปลายของราชวงศ์โจวระบบศักดินาเสื่อมอำนาจลง พวกทหารประจำตัวหรือประจำตระกูลก็พลอยสูญเสียฐานะตำแหน่งไปด้วย จึงออกท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างรบสุดแล้วแต่ผู้จ้าง กลุ่มชนพวกนี้เป็นที่รู้จักกันว่า พวกเฉีย (Hsieh)หรือยู เฉีย (Yu Hsieh) แปลว่า อัศวินพเนจร (Knight - Arrant) พวกนี้มีพฤติกรรมที่ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่า “คำพูดของพวกเขาซื่อตรง และเชื่อถือได้ การกระทำของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด พวกเขาซื่อตรงต่อคำสัญญาและปฏิบัติหน้าที่โดยไม่หวั่นต่ออันตราย”(Shih Chi Ch. 124 อ้างจาก Fung Yu-Lan,1970.P. 50) และพวกอัศวินเหล่านี้ยังถือหลักในการทำงานร่วมกันอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ “ยามสุขสุขร่วมกัน คราวทุกข์ทุกข์ร่วมกัน”(Enjoy equally, Suffer equally) เหล่านี้คือจรรยาในอาชีพของพวกเขา ปรัชญาส่วนใหญ่ของม่อจื๊อจึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีเก่าๆ และอธิบายขยายความจรรยาของกลุ่มอัศวินดังกล่าว

แต่ม่อจื๊อและพวกศิษยานุศิษย์ก็มีลักษณะอันเป็นข้อแตกต่างจากพวกอัศวินอยู่ 2 ประการ คือ

1. พวกเฉียหรืออัศวินนั้นพร้อมเสมอที่จะทำการรบต่อสู้ เมื่อมีผู้จ้างหรือถูกบังคับโดยพวกขุนนาง

ส่วนพวกม่อจื้อนั้นไม่นิยมการรบ การสงครามที่มีลักษณะเป็นการรุกรานซึ่งกันและกัน จะต่อสู้ก็ต่อเมื่อเห็นความจำเป็น เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของบ้านเมืองหรือป้องกันตัวเองเท่านั้น

2. พวกอัศวินยึดหลักจรรยาในอาชีพอย่างเหนียวแน่น ปราศจากเหตุผลและไม่คำนึงถึงเหตุผลอื่นใด

ส่วนพวกม่อจื๊อนั้นวางใจเป็นกลางในจรรยาเหล่านั้น ศึกษาหาเหตุผลและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตามสภาพความเป็นจริง

แม้ว่าปรัชญาม่อจื๊อจะมีพื้นฐานมาจากจรรยาของพวกอัศวิน แต่ในขณะเดียวกันก็นับได้ว่า เป็นผู้สร้างระบบปรัชญาในแนวใหม่ขึ้น (น้อย  พงษ์สนิท.ผศ.,ม.ป.ป. : 37-38)

ม่อจื๊อหรือบัคจื๊อ(เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 115) เป็นชาวรัฐลู้ เกิดหลังมรณกรรมของขงจื๊อไม่นาน เป็นคนรุ่นเดียวกับหยางจื๊อ แต่ไม่ปรากฎว่าเขาเกิดปีใดแน่ สันนิษฐานกันว่าคงจะเกิดระหว่าง พ.ศ. 63 – 76 และถึงแก่กรรมราว พ.ศ. 153 – 168 คำว่า ม่อ เป็นแซ่ ส่วนชื่อของเขา คือ เต็กหรือตี่ (Ti) แต่คนนิยมเรียกแซ่ของเขามากกว่า เพราะฉะนั้นคำว่า ม่อจื๊อ ก็คือท่านอาจารย์แซ่ม่อนั่นเอง แต่ภายหลังได้มีนักปราชญ์บางท่านมีความเห็นว่า คำว่า ม่อ ไม่ใช่แซ่ หากแต่เป็นคำเรียกคนพวกหนึ่ง ซึ่งมีรอยสักเป็นเครื่องหมาย ได้แก่ พวกทาส กรรมกรหรือเชลยสงคราม ม่อจื๊อก็เป็นกรรมกรช่างฝีมือคนหนึ่ง จึงมีรอยสักเช่นกัน ส่วนคำว่า ตี่ ก็ไม่ใช่ชื่อจริง คำนี้หมายถึงขนนกก็ได้ เพราะเชื่อกันว่า ม่อจื๊อชอบปักขนนกตามความนิยมของคนทั่วไปในสมัยนั้น(ซิวไช,2523 : 258.อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 104) หากเป็นตามความเห็นดังกล่าวก็แสดงว่า ม่อจื๊อมีกำเนิดเป็นกรรมกร แตกต่างจากหยางจื๊อและขงจื๊อ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนาง และก็น่าจะเป็นจริงอย่างนั้น เพราะม่อจื๊อได้รณรงค์อย่างมากให้เลิกล้มการแบ่งชนชั้นยกฐานะกรรมกรให้สูงขึ้นเสมอคนทั้งหลาย ปรัชญาของม่อจื๊อมีชื่อเสียงและสำคัญพอๆ กับปรัชญาของขงจื๊อ ทั้งมีอิทธิพลอย่างมากในหมู่กรรมกร ม่อจื๊อเคยศึกษาปรัชญาเต๋าและเคยอยู่ในสำนักปรัชญาขงจื๊อ แต่ม่อจื๊อไม่เห็นด้วยกับปรัชญาของเหลาจื๊อ และปรัชญาขงจื๊อหลายอย่าง จึงปลีกตัวออกมาตั้งสำนักสอนปรัชญาตามทรรศนะของตนขึ้น เขาได้ตั้งกฎระเบียบต่างๆ ของสำนักขึ้นมา ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม ใครละเมิดจะถูกลงโทษ และถือว่าสาวกทุกคนเป็นองคาพยพของสำนัก ใครทำงานมีรายได้จะต้องแบ่งบำรุงสำนัก นอกจากนี้ยังมีการสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักอีกด้วย ตำแหน่งนี้เรียกว่า กื้อจื๊อ แปลว่า มหาคุรุ(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 103-104)

ม่อจื๊อเป็นคนบูชาอุดมคติของตนมาก ไม่ยอมขายอุดมคติของตนแลกยศศักดิ์เงินทอง อย่างเช่น คราวหนึ่ง ม่อจื๊อเขียนหนังสือแสดงความเห็นทางการเมืองไปถวายพระเจ้าฌ้อฮุ้ยอ๊วง แห่งรัฐฌ้อ พระองค์ทรงพอพระทัยในความรู้ของม่อจื๊อมาก ถึงกับตรัสว่า “หนังสือของท่านประเสริฐนัก ถึงข้าพเจ้าไม่อาจนำมาปฏิบัติได้ แต่ก็จักแต่งตั้งท่านให้เป็นขุนนางศักดินา”

ม่อจื๊อ ทูลตอบว่า “ถ้าอุดมคติของข้าพเจ้ามิอาจนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลได้ ข้าพเจ้าก็มิอาจรับรางวัลจากพระองค์”(เสถียร  โพธินันทะ, 2506 : 212. อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 105.)

จากพฤติกรรมของม่อจื๊อดังกล่าว เราย่อมสามารถคาดถึงหัวใจของปรัชญาของม่อจื๊อได้ว่า เป็นหัวใจอันเดียวกันกับหัวใจของปรัชญาขงจื๊อ คือ ศูนย์กลางของความสำคัญอยู่ที่มนุษย์ ทั้งนี้ ม่อจื๊อยึดถือคำสอนที่ว่า ก่อให้เกิดสวัสดิภาพแก่คนส่วนใหญ่ และทำลายสิ่งชั่วร้าย(Moore, Charles A. ed. 1968. p 42. อ้างใน ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 33)

ปรัชญาของม่อจื๊อมีหลายอย่างที่แตกต่างกับปรัชญาเต๋าและปรัชญาขงจื๊อ จะเห็นได้จากปรัชญาชีวิต ปรัชญาเศรษฐกิจ และปรัชญาการเมืองของม่อจื๊อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

ม่อจื๊อเชื่อว่า ทุกคนต้องการความสุขเกลียดความทุกข์ดัวยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนจึงเหมือนกันดุจดังคำที่ว่า “ในสายตาของพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน” เมื่อธรรมชาติของทุกคนเหมือนกันอย่างนี้ ก็ควรที่จะปฏิบัติดีต่อกัน ช่วยเหลือกันโดยดำเนินการดังต่อไปนี้(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 105-106)

หัวใจของปรัชญาม่อจื๊ออยู่ที่ ความรัก ความรักดังกล่าว เป็นคุณธรรมสูงสุด และกว้างกว่าความเห็นอกเห็นใจหรือคุณธรรมแห่งความเมตตากรุณาของลัทธิขงจื๊อ ทั้งนี้เพราะถึงแม้ขงจื๊อจะสอนเรื่องความรักและความเมตตาระหว่างมนุษย์ แต่ความรักระหว่างมนุษย์ดังกล่าวไม่สามารถอยู่ในระดับที่เสมอภาคกันได้ การรักบิดามารดาของตนเองย่อมแตกต่างจากการรักบิดามารดาของเพื่อน การรักบิดาก็ย่อมแตกต่างจากการรักพี่รักน้อง แต่สำหรับม่อจื๊อ ความรักที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์ต้องมีความเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการลดหลั่นกันแต่ประการใดทั้งสิ้น ซึ่งเม่งจื๊อเคยกล่าววิจารณ์ว่า เป็นการทำลายธรรมชาติ และสัมพันธภาพในครอบครัว(ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 37)

แผ่ความรักความเมตตาอย่างเท่าเทียมกันต่อมนุษยชาติทั้งมวล หรือที่เรียกว่า ความรักสากล ม่อจื๊อมีความเห็นว่า คนเราควรมีความเห็นอกเห็นใจกัน เห็นทุกคนเป็นเสมือนตนเอง เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็ฉันนั้น หากใครทำใจได้ดังกล่าว การที่จะไปเบียดเบียนทำร้ายคนอื่นก็จะไม่เกิดขึ้น มีแต่จะเห็นใจกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 106) หรือหลักแผ่ความรักร่วมกัน มีประโยชน์สัมพันธ์กัน เรียกว่า เกียมเซียงไอ่เกาเซียงหลี(เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 123)

การแผ่ความรักความเมตตาไปยังมนุษยชาติทั้งมวล จะสามารถกำจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนทั่วไป ดังที่ม่อจื๊อกล่าวว่า

“บุคคลจะรักแคว้นอื่นเหมือนแคว้นของตน รักครอบครัวอื่นเหมือนครอบครัวของตน รักบุคคลอื่นเสมือนตัวเอง ถ้าพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นทั้งหลายมีความรักต่อกันแล้ว การสงครามก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเสนาบดีมีความรักต่อกัน การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจก็จะไม่มี ถ้าบุคคลมีความรักต่อกันแล้ว การลักขโมยก็จะไม่มี โจรที่ปล้นคนอื่นก็เพราะโจรมีความรักตนอย่างเดียว เห็นแก่ประโยชน์ตนฝ่ายเดียว หากโจรเห็นผู้อื่นเสมือนตัวเองแล้ว เขาก็จะไม่ปล้น และหากเห็นประโยชน์ของคนอื่นเสมือนประโยชน์ของตนแล้ว โจรก็เลิกเป็นโจร”

ดังนั้น ม่อจื๊อจึงสอนให้ทุกคนก่อนทำอะไรก็ขอให้ตั้งคำถาม ถามตัวเองก่อนว่า การกระทำนั้นเป็นความรักผู้อื่นด้วยหรือไม่ เป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมด้วยหรือไม่ ถ้าใช่ก็จงทำ ถ้าไม่ใช่ก็ขอให้ละเว้น อย่าไปคิดแต่ว่าตนเองจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ขอให้คิดว่าการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นก็เสมือนกับทำให้ตนเอง เพราะตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เกี่ยวเนื่องกับสังคม หากสังคมเป็นปกติสุข ตัวเองก็พลอยเป็นสุขไปด้วย ตรงกันข้าม ถ้าสังคมเดือดร้อน ตัวเองก็จะต้องมีความทุกข์เช่นกัน(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 107-108)

เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จะต้องมีคุณธรรม คือ แผ่ความรักความเมตตาอย่างเท่าเทียมกันต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นพื้นฐานมาก่อน หากปราศจากความความเมตตาสากลเสียแล้ว การมุ่งบำเพ็ญประโยชน์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณธรรมข้อนี้จึงเป็นผลของคุณธรรมข้อที่ 1 และก็เพราะการบำเพ็ญประโยชน์นี้เอง โลกจึงมีชีวิตชีวาน่าอยู่อาศัย ไม่มีคนอดอยากผอมโซหรือภาพที่น่าเวทนาทั้งหลาย ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนจะคอยช่วยเหลือกัน ดังที่ม่อจื๊อกล่าวว่า

“หูจะคอยฟัง ดวงตาจะคอยจ้องมอง เพื่อช่วยเหลือกัน แขนขาก็เสริมกำลังกันเพื่อทำงานช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนั้น คนสูงอายุ และหญิงม่ายก็จะได้รับการดูแลเลี้ยงดูตลอดอายุขัย เด็กกำพร้าที่อ่อนแอ และยากจนก็จะได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดู”(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 108)

ม่อจื๊อดูจะเป็นนักปรัชญาคนเดียวของจีนที่เชื่อว่ามีฟ้า หรือเทพเจ้า ตลอดถึงเชื่อว่ามีผีสางเทวดาคอยดูแลความเป็นไปของมนุษย์ เทพเจ้าจะประทานรางวัลให้แก่คนที่ทำความดี อย่างที่เรียกกันว่า สวรรค์บันดาล และลงโทษแก่คนที่ทำความชั่ว ดังที่เรียกว่า สวรรค์ลงทัณฑ์ ทั้งนี้ก็เพราะเทพเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้ทุกคนรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน ม่อจื๊อเชื่อว่า สุขทุกข์ของมนุษย์มาจากพระเจ้า พระองค์สามารถบันดาลให้ใครสุขใครทุกข์ก็ได้

ม่อจื๊อเชื่อว่า การที่โลกวุ่นวาย คนทำความชั่วมากขึ้นทุกทีก็เนื่องมาจากการไม่เชื่อว่ามีเทพเจ้าผีสางเทวดาเป็นต้นเหตุ เพราะการไม่เชื่อทำให้คนกล้าทำความชั่วมากขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับคนสมัยก่อนที่เชื่อในเรื่องผีสางเทวดาจึงมีคนดีมาก บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ผู้คนไม่กล้าทำความชั่ว เพราะกลัวผีสางเทวดา ดังคำที่ว่า ถึงคนไม่รู้ไม่เห็น แต่ผีสางเทวดาท่านรู้ท่านเห็น ม่อจื๊อได้ตำหนิคนสมัยนั้นอย่างรุนแรงที่ไม่ยอมเชื่อในเรื่องผีสางเทวดา ซึ่งกษัตราธิราชในอดีตเคยเคารพนับถือมาก่อน ม่อจื๊อได้ให้ข้อพิสูจน์ถึงความมีอยู่ของเทพเจ้าไว้อย่างง่ายๆ ว่า คนที่ทำความดีจะมีความสุข ส่วนคนที่ทำความชั่วจะมีความทุกข์ ได้รับความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ก็เพราะเทพเจ้าท่านบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น เพราะฉะนั้นคนจึงควรเคารพยำเกรงเทพเจ้า เห็นความสำคัญของเทพเจ้า.. ความเห็นของม่อจื๊อในเรื่องนี้จึงตรงกันข้ามกับขงจื๊อ ที่ถือว่าเรื่องดังกล่าวตัวมนุษย์เองเป็นผู้กำหนด และไม่สนับสนุนให้เชื่อในเรื่องเทพเจ้ามากนัก แต่ม่อจื๊อกับสอนให้คนเชื่อเทพเจ้า และปฏิบัติตามประสงค์ของเทพเจ้า โดยเฉพาะผู้นำของประเทศจะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ ม่อจื๊อได้วางกฎไว้ 3 ข้อ สำหรับผู้นำของรัฐที่จะต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

1. เคารพและปฏิบัติตามความประสงค์ของเทพเจ้า

2. เคารพและปฏิบัติตามความประสงค์ของผีสางเทวดา

3. มีความเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 108-110)

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า เรื่องปากท้องของมนุษย์นั้นสำคัญที่สุด การช่วยเหลือประชาชนอย่างรีบด่วนก็คือ การช่วยให้เขามีกินมีใช้ เมื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้องได้แล้ว เรื่องอื่นก็ง่ายที่จะแก้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจเป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งปวง ปัญหามีว่าคนเราจะอิ่มปากอิ่มท้องได้อย่างไร เรื่องนี้ม่อจื๊อสอนให้ขยันหมั่นเพียร ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก วิธีสำคัญที่จะบรรลุถึงจุดหมายนั่นก็คือ เลิกประเพณีนิยมและดนตรี ซึ่งอาจแบ่งเป็นข้อย่อยๆ ดังต่อไปนี้

สังคมในประเทศจีนสมัยก่อนและสมัยม่อจื๊อแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ ชนชั้นสูงกับสามัญชน พวกชนชั้นสูง ได้แก่ ผู้ปกครองและพวกผู้มีการศึกษาดี เป็นผู้มีฐานะอยู่เหนือสามัญชน มีความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก ส่วนพวกสามัญชน ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และกรรมกรทั้งหลาย พวกนี้ไม่มีความเจริญก้าวหน้า มุ่งแต่ทำงานหารายได้มาเลี้ยงชนชั้นสูง

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า การแบ่งชนชั้นทำให้เกิดการแตกแยกและเป็นการกดขี่ ฝ่ายถูกปกครองจึงรณรงค์ต่อต้านเรื่องการแบ่งชนชั้น ประกาศถึงความเป็นธรรมในสังคม นอกนี้ม่อจื๊อก็เหมือนกับเหลาจื๊อ คือ ต่อต้านระบบศักดินาและชีวิตอันหรูหราของคนชั้นสูงในสมัยนั้น แต่จุดมุ่งหมายของม่อจื๊อก็แตกต่างกับเหลาจื๊อกล่าวคือ เหลาจื๊อสอนให้คนกลับเข้าหาธรรมชาติ ดำรงชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ แต่ม่อจื๊อมีความเห็นว่า สังคมอย่างนั้นมีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ สู้มีสังคมแบบมีระเบียบที่ดีงามไม่ได้  

ม่อจื๊อคัดค้านการจัดงานศพอย่างใหญ่โต และประเพณีการไว้ทุกข์ให้คนตาย ผิดกับขงจื๊อที่ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่บุตรหลานจะพึงกระทำ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี หากแสดงความอาลัยให้เต็มที่ก็จะต้องไว้ทุกข์ถึง 3 ปี ม่อจื๊อมีความเห็นว่า การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่การแสดงความกตัญญูกตเวที แต่เป็นการสิ้นเปลืองไร้สาระ แค่ฝังศพคนตายก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างฮวงซุ้ยให้ใหญ่โตสูญเงินไปเปล่าๆ ม่อจื๊อได้กล่าวถึงความสิ้นเปลืองของการจัดพิธีศพในยุคสมัยของเขาไว้ว่า

“แม้แต่สามัญชนธรรมดาตายลง ค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพนั้นก็มากมาย จนทำให้ครอบครัวยากจนแทบเป็นขอทาน ยิ่งกษัตริย์สิ้นพระชนม์ด้วยแล้ว จะต้องนำเอาทองและหยก ไข่มุกและเพชรนิลจินดามาวางไว้ข้างพระศพ ห่อศพด้วยผ้าแพรพรรณอันวิจิตร พร้อมทั้งนำรถม้า โต๊ะ เก้าอี้ กลอง ตุ่มไห ถ้วยชาม ขวานมีด ม่าน ฉาก ธง และวัตถุต่างๆ ที่ทำด้วยงาและหนัง เข้าไปฝังบรรจุไว้ในที่ฝังพระศพด้วย  ผลก็ คือ บ้านเมืองแทบจะไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่เลย” (ซิวไช,2523 : 287-288.อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 112) เพราะเหตุนี้ พิธีการทำศพ ม่อจื๊อจึงเห็นว่า เป็นประเพณีที่หายนะที่สุด (ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 110-112)

ม่อจื๊อกล่าวว่า การประกอบพิธีกรรมที่งดงาม รวมทั้งการไว้ทุกข์ที่ยาวนาน ย่อมนำไปสู่ผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ความยากจนของประเทศชาติ และความไร้ระเบียบของรัฐบาล(Moore, Charles A. ed. 1968. p 42-3. อ้างใน ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 34)

ม่อจื๊อถึงแม้จะเชื่อเรื่องเทพเจ้า แต่เขาก็ปฏิเสธเรื่องพรหมลิขิต พรหมลิขิตนั้นไม่มี มีก็แต่ตนลิขิตให้ตนเองเท่านั้น ใครทำกรรมอะไรไว้ก็จักได้รับผลกรรมนั้น กรรมหรือการกระทำจัดเป็นเครื่องมือบันดาลให้เป็นไป ทุกอย่างแก้ไขได้ให้ร้ายกลายเป็นดี ดังที่ม่อจื๊อยกตัวอย่างว่า

ในสมัยโบราณกาล พระเจ้าเจีย (Chieh) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์แห่ หรือเซีย ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย แต่กาลก่อนต่อมา พระเจ้าถัง (Tang) ผู้สถาปนาราชวงศ์เซียงก็สามารถทำให้สงบลงได้หรือเมื่อพระเจ้าโจ่ว (Chow) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซ้องทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน พระเจ้าหวู (Wu) พระราชโอรสของพระเจ้าเหวิน (Wen) ผู้สถาปนาราชวงศ์โจ่วก็สามารถจัดการให้สงบลงได้ ก็ในเมื่อบ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวายอย่างแสนสาหัสในสมัยของพระเจ้าเจียและพระเจ้าโจ่ว กลับสงบลงได้เพราะพระเจ้าถังและพระเจ้าหวู เมื่อเป็นอย่างนี้จะเรียกว่า มีพรหมลิขิตได้อย่างไร

ม่อจื๊อได้กล่าวถึงความเสียหายของการเชื่อพรหมลิขิตไว้ว่า

“ถ้าผู้ปกครองบ้านเมืองเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เขาก็จะไม่สนใจปกครองบ้านเมือง พวกเสนาบดีก็จะละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ประชาชนทั่วไปก็จะไม่เอาใจใส่ในการประกอบอาชีพ สตรีทั้งหลายก็จะไม่ใส่ใจเรื่องทอหูกปั่นฝ้าย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต ผลก็คือ โลกจะระส่ำระสาย ผู้คนจะเดือดร้อนเพราะขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม”

ทรรศนะของม่อจื๊อในเรื่องพรหมลิขิตแตกต่างจากทรรศนะของขงจื๊อ กล่าวคือ บางครั้งขงจื๊อจะพูดทำนองเชื่อว่ามีพรหมลิขิต พรหมลิขิตหรือชะตากรรม (หมิง-Ming) เป็นโองการสวรรค์ ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า

“คำสอนของข้าพเจ้าจะเผยแผ่ไปทั่วโลกได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องชะตากรรม ทำนองเดียวกันกับคำสอนของข้าพเจ้าจะเสื่อมสูญสลายไปหรือไม่ ก็เป็นเรื่องสุดแต่ชะตากรรมเช่นกัน”

ส่วนม่อจื๊อสอนว่า “ใครก็ตามหากมีความขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพ ไม่งอมืองอเท้ารอคอยพรหมลิขิตแล้ว ก็จะสามารถมีกินมีใช้อิ่มปากอิ่มท้องและตั้งเนื้อตั้งตัวได้” (ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 112-113)  

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า ดนตรีเป็นเรื่องสำรวยสำราญ เป็นความฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น จึงเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของคน เพราะฉะนั้น ม่อจื๊อจึงไม่สนับสนุนให้เรียนหรือหมกมุ่นกับดนตรี เพราะเป็นสิ่งเกินความจำเป็น ม่อจื๊อได้แสดงโทษของดนตรีไว้ 4 ข้อ คือ

1. ทำให้สิ้นเปลืองเงินทอง

2. ช่วยประชาชนให้พ้นจากความอดอยากไม่ได้

3. ไม่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้นได้

4. ทำให้ติดนิสัยเคยชินความเป็นบุคคลเจ้าสำราญฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

ความเห็นของม่อจื๊อต่อเรื่องดนตรีผิดกับทรรศนะของขงจื๊อกล่าวคือ ขงจื๊อให้ความสำคัญแก่ดนตรีมาก ถึงกับเข้าไปศึกษาดนตรีในรัฐชี้ ในขณะที่ศึกษาอยู่นั้น ขงจื๊อดื่มด่ำในดนตรีถึงกับลืมรสอาหารถึง 3 เดือน ชั่วชีวิตของเขาโดยเฉพาะก็ในคราวทุกข์ยาก ขงจื๊อจะใช้ดนตรีเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากตลอดมา ขงจื๊อมีความรู้เรื่องดนตรีมากจนได้รับเกียรติว่า เป็นปรมาจารย์แห่งดนตรี ขงจื๊อเชื่อว่า ดนตรีสามารถกล่อมเกลาจิตใจคนให้เป็นคนอ่อนโยน และเป็นคนดีได้ ส่วนม่อจื๊อเห็นว่า ทั้งดนตรีและพิธีทำศพเป็นการทำลายเศรษฐกิจ ทั้งเป็นการแบ่งแยกชนชั้นอีกด้วย(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 113-114)

ดังนี้ จะเห็นว่า เหตุผลที่ม่อจื๊อไม่ชอบใจดนตรีก็มิใช่สาเหตุมาจากเสียงของเครื่องดนตรีแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะดนตรีไม่สิ่งเสริมต่อสวัสดิภาพของประชาชน และขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ หรืออีกนัยหนึ่ง ม่อจื๊อเน้นผลประโยชน์ (benefits) ที่เป็นรูปธรรมมากนั่นเอง(ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 34)

นอกจากนี้ ม่อจื๊อยังกล่าวถึงผลเสียของดนตรีว่า ดนตรีที่ผู้ปกครองพอใจย่อมนำไปสู่การขูดรีดภาษีประชาชน ทำให้เกิดความยุ่งยากต่องานผลิตโดยการดึงนักดนตรีออกไปจากงานผลิตอื่นๆ และทำให้เสียเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เกิดความสับสนขึ้นในรัฐบาล(Moore, Charles A. ed. 1968. p 43. อ้างใน ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 35)

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า รัฐที่มีพลเมืองมากจะกลายเป็นรัฐใหญ่มีความมั่งคั่งและจะเจริญรุ่งเรือง เพราะพลเมืองจะช่วยกันให้พัฒนา เหตุนี้รัฐจึงจำต้องมีพลเมืองเพื่อเป็นกำลังของชาติ วิธีที่รัฐจะมีพลเมืองมากขึ้นก็โดยการที่รัฐออกกฎหมาย ให้ชายอายุ 20 ปี กับหญิงอายุ 15 ปี ควรมีครอบครัว ทรรศนะเรื่องเพิ่มประชากรของม่อจื๊อก็ทำนองเดียวกับขงจื๊อ คือ ขงจื๊อสนับสนุนชายอายุ 30 หญิงอายุ 20 แต่งงานกันเพื่อสืบสกุลเป็นกำลังของชาติ ข้อนี้ผิดกับทรรศนะของเหลาจื๊อที่ต้องการให้แต่ละรัฐมีพลเมืองน้อย ทั้งมีอาณาเขตไม่กว้างนัก จะได้ปกครองดูแลทั่วถึง ความเห็นเรื่องการเพิ่มจำนวนประชากรของม่อจื๊ออาจจะเหมาะสมกับสมัยนั้น เพราะพลเมืองของประเทศจีนยังมีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ของประเทศ แต่ทฤษฎีนี้ผิดพลาดมากหากจะนำมาใช้ในปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เพราะประเทศจีนในปัจจุบันมีพลเมืองมากที่สุดในโลกคือ มีจำนวนมากกว่า 1,000 ล้านคน จนรัฐบาลจีนต้องรณรงค์ให้คุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ เช่น ลงโทษแก่คนที่มีลูกมาก เป็นต้น(ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 114-115)

ปรัชญาการเมืองของขงจื๊อและม่อจื๊อถึงแม้จะแตกต่างกัน แต่นักปรัชญาทั้ง 2 ต่างก็ได้รับความบันดาลใจมาจากราชสำนักเช่นกัน กล่าวคือ ขงจื๊อนิยมยกย่องจิวก่ง ผู้สำเร็จราชการจากแคว้นโจว แต่ม่อจื๊อไม่เห็นด้วยกับขงจื๊อที่ใช้ฟื้นฟูธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมของราชวงศ์จิวหรือโจวมาปฏิบัติ ม่อจื๊อเห็นว่า สู้วัฒนธรรมของราชวงศ์แห่หรือเซีย(Hsia)ไม่ได้ วัฒนธรรมประเพณีของราชวงศ์แห่ดีที่สุด บุคคลในอุดมคติของม่อจื๊อ ก็คือ พระเจ้าอู๊หรือยู้ (Yu) ผู้สถาปนาราชวงศ์เซีย (ประมาณก่อน พ.ศ. 1762-1223 ปี) พระองค์ทรงเป็นที่กล่าวขานถึงความเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และทรงมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของพระองค์สูงมาก กล่าวกันว่า ในขณะที่พระองค์กำลังครุ่นคิดหาทางแก้ไขอุทกภัยอยู่นั้น พระองค์ถึงกับลืมเสวยอาหาร ไม่สนพระทัยแต่งพระกาย ดังคำที่ว่า “พระเจ้ายู้ทรงถือเอาการกรำฝนเป็นการสนานพระกาย ทรงถือเอาสายลมที่พัดผ่านมาเป็นหวีสยายพระเกศา ทรงถือเอาการตรากตรำลำบากจากการเดินทางเป็นเครื่องนวดพระกายให้อ่อนนุ่ม” น้ำพระทัยเสียสละของพระเจ้ายู้เป็นที่ประทับใจของม่อจื๊อมาก ม่อจื๊อจึงอุทิศตนเองดำเนินรอยตามพระเจ้ายู้ ด้วยเหตุนี้ ม่อจื๊อจึงดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย มุ่งมั่นสละความสุขส่วนตัวออกบำเพ็ญประโยชน์ต่อมนุษยชาติโดยเฉพาะผู้ยากไร้ ปรัชญาการเมืองของม่อจื๊อมีหัวข้อใหญ่ๆ ดังนี้ (ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 115-116.)

ม่อจื๊อมีความเห็นว่า ความทุกข์ความเดือดร้อนของสังคมมาจากความเห็นแก่ตัว เมื่อคนมีความเห็นแก่ตัว เมื่อคนมีความเห็นแก่ตัวจะทำอะไรก็ทำแบบเห็นแก่ตัว ผลก็คือ ผู้อื่นจะเดือดร้อน และยิ่งขยายความเห็นแก่ตัวออกไป ความเดือดร้อนก็จะขยายตามไปด้วย เช่น ขยายออกมาสู่ครอบครัว สังคม ประเทศ เป็นต้น ก็กลายเป็นครอบครัวเห็นแก่ตัว สังคมเห็นแก่ตัว และประเทศเห็นแก่ตัว หากเป็นเช่นนี้ สันติภาพก็เป็นอันสิ้นหวัง แต่ตรงข้าม หากคนเราขจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้ โลกก็จะประสบสันติสุขอย่างแน่นอน เหตุนี้ม่อจื๊อจึงสอนให้คนปลูกความรักให้เกิดขึ้นต่อมนุษยชาติ โดยปลูกความรักให้เกิดขึ้นในตัวก่อน จากนั้นจึงขยายออกไปสู่ครอบครัว สังคม ประเทศ ตลอดถึงโลก ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน แล้วจะได้ไม่นำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้กัน ทั้งนี้ก็เพราะรักผู้อื่นเสมอกับตน รักครอบครัวอื่นอย่างกับครอบครัวของตน รักประเทศอื่นท่ากับประเทศของตน ตัวเองได้รับประโยชน์อย่างไรก็จงทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์อย่างนั้น ครอบครัวของตนได้รับประโยชน์อย่างไรก็ต้องให้ครอบครัวอื่นได้ประโยชน์อย่างนั้น และประเทศของตนได้รับประโยชน์อย่างไรก็จะต้องให้ประเทศอื่นได้ผลประโยชน์อย่างนั้นด้วย (ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 116-117.)

สมัยที่ม่อจื๊อยังมีชีวิตอยู่ ผู้ปกครองบ้านเมืองเล่นพรรค เล่นพวก ใครที่ไม่ใช่ญาติหรือพวกพ้อง ถึงจะมีความรู้ความสามารถเพียงไรก็จะไม่มีโอกาสเข้ารับราชการ หรือเข้ามาได้แล้วก็ไม่ได้เลื่อนให้มีตำแหน่งใหญ่โต ม่อจื๊อจึงสอนให้เลิกเล่นพรรคเล่นพวก แต่ให้ถือตัวคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นสำคัญ ม่อจื๊อเสนอให้รัฐบาลนำคนดีมีความรู้มาใช้ และปูนบำเหน็จยศถาบรรดาศักดิ์ให้ตามความเหมาะสม หลักการของม่อจื๊อในข้อนี้ดี จะทำให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ทรรศนะของม่อจื๊อในเรื่องนี้ก็ขัดกับปรัชญาเหลาจื๊อที่สอนว่า ความยุ่งยากของสังคมเกิดมาจากคนฉลาด เพราะฉะนั้นจึงไม่สนับสนุนให้คนศึกษาเล่าเรียน (ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 117)

ม่อจื๊อถือว่า ผู้นำไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์สมมติบัญญัติขึ้นเท่านั้น หากแต่เป็นความจริงตามธรรมชาติที่จะต้องมีขึ้น ดุจเดียวกับสัตว์เดรัจฉานทุกจำพวกจะต้องมีจ่าฝูงหรือหัวหน้า มันเป็นความจำเป็นโดยแท้ที่ต้องมีผู้นำในสังคมมนุษย์ เพราะสังคมมนุษย์จะขาดผู้นำหรือหัวหน้าไม่ได้ เพราะผู้นำย่อมเป็นที่รวมจิตใจของคนในสังคมนั้น ผู้นำเป็นหลักประกันความมั่นคงและความสงบสุขของสังคม หากขาดผู้นำเสียแล้ว ต่างคนต่างก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นประมาณ ทำให้เกิดความวุ่นวายไร้ระเบียบในสังคม ดังที่ม่อจื๊อกล่าวว่า

“ในสมัยปฐมบรรพ์นั้น มนุษย์ยังไม่มีกฎหมายและการปกครองไม่มีระเบียบประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกัน แต่ละคนจึงปฏิบัติตามใจของตน โดยนัยนี้ยิ่งมีคนมากก็มีความเห็นแตกต่างกันมาก และแต่ละคนขัดแย้งกัน ซึ่งนำไปสู่การเกลียดชังและการเป็นศัตรูกัน ผลก็คือ การเบียดเบียนกันจนถึงประหัตประหารกันก็ตามมา โลกจึงเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ต่อมาคนเกิดความเข้าใจว่า สาเหตุของความไม่สงบวุ่นวายนั้น มาจากการขาดหัวหน้าหรือผู้นำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงช่วยกันคัดเลือกบุคคลที่ฉลาด และสามารถที่สุดขึ้นเป็นโอรสแห่งสวรรค์หรือพระเจ้าจักรพรรดิ หลังจากนั้นก็ช่วยกันสรรหาบุคคลที่ฉลาดและสามารถรองลงมาเป็นเสนาบดี และอื่นๆ ตามลำดับ คอยช่วยเหลือผู้นำ ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกหัวหน้าจนถึงประมุข ช่วยกันขจัดความวุ่นวาย นำความสงบสุขร่มเย็นมาให้ประชาชน(ซิวไช, 2523 : 300-301.อ้างใน ฟื้น  ดอกบัว, 2555 : 118.)

ด้วยเหตุนี้ม่อจื๊อจึงถือว่า ผู้นำสำคัญที่สุดของประเทศ แต่โดยเหตุที่ผู้นำสามารถบันดาลได้ทั้งความเจริญหรือความเสื่อมให้แก่ประชาชน ประชาชนจึงจำต้องให้ความสำคัญในการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าเป็นพิเศษ ประชาชนจะต้องร่วมมือกันเฟ้นหาบุคคลที่ดีเด่นด้วยคุณธรรมและความรู้มาเป็นผู้นำ บุคคลที่จะมาร่วมทำงานกับผู้นำก็จะต้องคัดเลือกมาจากคนดีมีความรู้ดีเด่นเช่นกัน ตำแหน่งผู้นำสูงสุดตามปรัชญาขงจื๊อ ก็ทำนองเดียวกับประธานาธิบดี แต่ม่อจื๊อเรียกว่า จักรพรรดิหรือโอรสแห่งสวรรค์ แต่ม่อจื๊อไม่ได้บอกว่า เมื่อผู้นำสูงสุดสิ้นชีพแล้วจะดำเนินการอย่างไร จะเลือกตั้งใหม่หรือใช้แบบสืบสันติวงศ์(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 119)

ม่อจื๊อ สอนให้ทำตามผู้นำ เรียกว่า เสียงท้ง สอนให้เชื่อผู้นำ ทำตามคำสั่งของผู้นำ เขาเห็นว่า ถ้ารัฐได้ผู้นำที่ดี ปฏิบัติตามกฎรัฐร่วมกัน มีประโยชน์สัมพันธ์กันก็เป็นใช้ได้ (เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 126)

ม่อจื๊อเทิดทูลสันติภาพ และความยุติธรรมเป็นอย่างมาก จึงถือเป็นหน้าที่ที่ต้องดำรงรักษาสันติภาพและความยุติธรรมไว้ให้ได้ ม่อจื๊อมีความเห็นว่า สงครามเป็นการทำลายล้างทั้งสันติภาพและความยุติธรรม สงครามจึงเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่จำต้องกำจัดให้หมดไป และการที่จะให้สัมฤทธิ์ผลดังกล่าวก็เห็นมีอยู่วิธีเดียว คือ การใช้กำลังทหารเข้าสนับสนุนการพูด และเนื่องจากม่อจื๊อมีความรู้ทางพิชัยสงคราม และชำนาญในการช่าง เขาจึงตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพชั้นเยี่ยมขึ้นมาได้ กองกำลังก็ไม่ได้เอามาจากไหน ก็ใช้สาวกของตนนั่นเอง ม่อจื๊อมีสาวก 300 คน และในจำนวนนี้มีผู้ยอมเสียสละทุกอย่างแม้ชีวิตก็สละได้เพื่อม่อจื๊อถึง 180 คน

ม่อจื๊อคิดว่า การใช้กำลังเป็นอำนาจต่อรองนั้นแหละจึงจะได้ผล ทำนองเดียวกับเจรจากับโจรไม่ให้ปล้นบ้าน เจ้าของบ้านก็จำต้องแสดงกำลังให้โจรเกรงกลัวจึงจะสามารถยับยั้งโจรได้ ม่อจื๊อจึงทำตัวเหมือนตำรวจโลก คอยสอดส่องว่ารัฐไหนจะไปรุกรานรัฐอะไร เมื่อทราบแล้วม่อจื๊อก็จะรีบไปเกลี้ยกล่อมรัฐที่จะไปรุกรานให้เห็นโทษของสงครามแล้วล้มเลิกเสีย หากรัฐนั้นไม่ยอมฟัง ม่อจื๊อก็จะใช้กองกำลังของตนเข้าช่วยเหลือรัฐที่รุกราน(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 121)

ม่อจื๊อ ค้านการสงครามรุกราน แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก โดยชี้ให้เห็นโทษของการรุกราน ด้วยเหตุผลน่าฟัง ดังต่อไปนี้

“มีคนหนึ่งเข้าไปในสวนผลไม้ของคนอื่น แล้วลักผลไม้มาเป็นของตน ชาวบ้านรู้เข้าย่อมไม่พอใจขโมยคนนั้น รัฐก็ต้องลงโทษตามระบิลเมือง ข้อนี้ก็เพราะเป็นการกระทำที่เสียหายต่อผู้อื่น ต่อมามีคนที่ 2 เข้าไปลักปศุสัตว์ของชาวบ้าน ผู้นั้นชื่อว่าได้ทำผิดยิ่งกว่าคนที่ 1 ต่อมามีคนที่ 3 เข้ามาทำการปล้นทรัพย์ฆ่าฟันทำร้ายผู้อื่น ก็ชื่อว่าทำความผิดร้ายแรงยิ่งกว่ารายก่อนๆ ข้อนี้เป็นเพราะอะไร ก็เพราะเป็นการทำความเสียหายให้แก่ผู้อื่นเป็นอย่างมาก คนยิ่งทำความเสียหายแก่คนอื่นมากเท่าไร ก็ย่อมแสดงว่าใจขาดความดีงามมากขึ้นเท่านั้น โทษที่พึงจะได้รับก็จะต้องหนักขึ้นตามไปด้วย คนที่ทำความไม่ดี ย่อมเป็นที่ติเตียนของคนดีทั้งหลาย แต่ยังมีความเลวร้ายที่หนักกว่าการกระทำดังกล่าวมาทั้งหมด นั่นก็คือ รัฐที่ชอบเที่ยวทำสงครามรุกรานรัฐอื่น แต่เรากลับทำเป็นไม่เห็น มิหนำยังกลับสรรเสริญว่า เป็นการกระทำที่ชอบธรรมเสียอีก ช่างน่าเศร้าใจจริงๆ”(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 124)

ม่อจื๊อบำเพ็ญตนเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม โดยถือเอาความเสียหายมากน้อยของสังคมเป็นเครื่องกำหนดโทษ ในทรรศนะของม่อจื๊อแล้ว พวกนักรุกรานทั้งหลาย คือ จอมปล้นประเทศ(ฟื้น  ดอกบัว,2555 : 125.) ม่อจื๊อไม่ย่อมสดุดีชัยชนะของคนเหล่านี้ว่าเป็นวีระกรรมเป็นอันขาด เขาเรียกพวกนี้ว่าเป็นนักโทษของมนุษยชาติ(เสถียร  โพธินันทะ,2544 : 125)

จริยมาตรฐาน หมายถึง เกณฑ์การวินิจฉัยว่าอะไรดีอะไรชั่ว ในปรัชญาของม่อจื๊อมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ ในการที่จะตัดสินใจลงไปว่า สิ่งใดดี สิ่งใดชั่วนั้น จะยึดถืออะไรเป็นเกณฑ์วินิจฉัยต่อปัญหานี้ ม่อจื๊อแสดงทรรศนะว่า จะต้องถือหลัก 3 ประการเป็นเกณฑ์วินิจฉัยหรือตรวจสอบ

1. ไม่ขัดกับเจตจำนงของสวรรค์ของเทพวิญญาณ และจรรยาวัตรของพระบูรพมหากษัตริยาธิราช (The ancient sage-kings)

2. ไม่ขัดกับเจตจำนงสาธารณะ นั่นคือข้อเท็จจริงอันเป็นมติมหาชน

3. เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน

บรรดาเกณฑ์ตรวจสอบทั้งสามประการนี้ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ถือว่าเป็นข้อสำคัญที่สุดและเป็นเกณฑ์ที่ม่อจื๊อใช้พิสูจน์ตรวจสอบคุณค่าด้านต่างๆ เสมอมา จึงอาจกล่าวได้ว่า ทรรศนะของม่อจื๊อในเรื่องว่าด้วยเกณฑ์การวินิจฉัยคุณค่านี้มีลักษณะเป็น ประโยชน์นิยม (Utilitarianism)คือ ปรัชญาที่ถือเอาผลของการกระทำ หรือผลที่พึงจะได้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่า ดี-ชั่ว (น้อย  พงษ์สนิท.ผศ.,ม.ป.ป. : 43)

ม่อจื๊อโจมตีขงจื๊อที่พูดถึงสวรรค์น้อย คุณธรรมเยิ้น ของขงจื๊อจึงไม่มีพื้นฐานรองรับที่แน่นหนา เพราะคุณธรรมดังกล่าวอยู่ในตัวมนุษย์ มนุษย์เป็นศูนย์กลางของความดี และเป็นต้นกำเนิดของคุณธรรม แต่ ความรักสากล ของม่อจื๊อ เป็นคุณธรรมที่มีพื้นฐานมาจากพระเจ้า กล่าวคือ ความรักสากลเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์ (The Will of Heaven) ม่อจื๊อจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้พิทักษ์ศาสนา หรือรื้อฟื้นเรื่องสวรรค์ให้มีชีวิตชีวา หลังจากที่ฝ่ายลัทธิขงจื๊อเอ่ยถึงน้อยเกินไป

เนื่องจากหลักประโยชน์นิยม และหลักการศาสนาของเขา ทำให้ม่อจื๊อมีวิถีชีวิตในทางทุกข์นิยม(asceticism) มีแต่ระเบียบและปฏิเสธตนเองและค่อนข้างยากที่จะหาบุคคลผู้อุทิศตนเพื่อคนอื่น เช่นม่อจื๊อ และการจะนำมนุษย์ไปสู่ความสงบและสันติสุขตามวิถีทางของม่อจื๊อคงเป็นไปได้ยาก ลัทธิม่อจื๊อ (Moism หรือ Moist School)ได้พัฒนาขึ้นหลังจากม่อจื๊อเสียชีวิตและกลายเป็นสำนักทางศาสนาไป เป็นสำนักที่มีระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวด ภายใต้การนำของหัวหน้าสำนัก แต่ความเข้มงวดของหลักปฏิบัติ ทำให้สำนักนี้สืบต่อได้ประมาณสองศตวรรษก็สลายตัว (ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534 : 37)

สรุปได้ว่า หัวใจของปรัชญาม่อจื๊ออยู่ที่ความรักความเมตตาต่อมนุษยชาติ ปรารถนาจะให้ทุกคนมีความสุข โดย ให้คนเห็นคุณค่าของความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แล้วปลูกฝังหลักปรัชญานี้ให้เกิดมีขึ้นในสันดาน เลิกการแบ่งแยกชนชั้น ให้ถือทุกคนเป็นพี่น้องกัน มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ขยันหมั่นเพียร ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย และประหยัด การขยันทำให้มีทรัพย์สินเพิ่ม การประหยัดก็ช่วยเพิ่มทรัพย์ได้เช่นกัน เลิกการใช้ฟุ่มเฟือย และล้มเลิกประเพณีที่สิ้นเปลือง โดยเฉพาะก็พิธีทำศพ ซึ่งสิ้นเปลืองมากทั้งเงินและเวลา เรื่องดนตรีก็เช่นกันควรละเว้นเสีย เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองทั้งเงินทั้งเวลาแล้ว ยังเป็นการเพาะนิสัยความสำรวยสำราญอีกด้วย นอกจากนี้ ประเพณีหรูหราฟุ่มเฟือย และดนตรียังเป็นการแบ่งแยกชนชั้นทำให้คนชั้นสูงหาความสุขบนความทุกข์ของคนชั้นต่ำอีกด้วย เลิกเชื่อโชคชะตาหรือพรหมลิขิต แต่ให้เชื่อว่า ตนนั่นแหละเป็นผู้ลิขิตทุกอย่าง ไม่ว่าเป็นความเจริญหรือความเสื่อมตนเองเป็นผู้บันดาลให้ทั้งนั้น  และเชื่อในเรื่องของเทพเจ้า ผีสาง เทวดา เพราะความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของผีสางเทวดาเท่านั้น จะทำให้คนรักทำความดี หนีการทำความชั่วทั้งต่อหน้า และลับหลัง อันจะเป็นผลให้การแผ่ความรักเมตตาเป็นไปได้อย่างจริงจัง ดังนั้น หลักปฏิบัติดังกล่าวของม่อจื๊อ คือ หลักประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ของ Stuart Mill นั่นเอง ม่อจื๊อจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้พัฒนาปรัชญาประโยชน์นิยมขึ้นในระบบปรัชญาจีนนั่นเอง

------------------------------------------------------------

เอกสารและสิ่งอ้างอิง

 

จำนง  ทองประเสริฐ. 2537. บ่อเกิดลัทธิประเพณีจีน ภาค 1 – 3, พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.

ซิวไซ. 2523. ปรัชญาจีน, แปลโดย สกล  นิลวรรณ จาก The Story of Chinese Philosophy.พระนคร : โอเดียนสโตร์.

น้อย  พงษ์สนิท,ผศ.,ม.ป.ป. ปรัชญาจีน. กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นติ้ง, ศูนย์ส่งเสริมตำรา

และเอกสารวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ปานทิพย์  ศุภนคร,ผศ.,2534. ปรัชญาจีน CHINESE PHILOSOPHY PY 225, พิมพ์ครั้งที่ 3,

กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ฟื้น  ดอกบัว. 2555. ปางปรัชญาจีน, พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์.

เสถียร  โพธินันทะ. 2506. เมธีตะวันออก. พิมพ์ครั้งที่ 1, พระนคร : สำนักพิมพ์บรรณาคาร,ก.ศ.ม.

----------------------. 2544. เมธีตะวันออก. พิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ : สรรค์บุ๊ค.

 

Fung, Yu-Lan. 1970. The Spirit of Chinese Philosophy. Westport, Connecticut :

Greenwood Press.

Moore, Charles A. ed. 1968.  The Chinese Mind. Honolulu, East – West Center Press.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

องค์ประกอบของศาสนา

 



องค์ประกอบของศาสนา

ศาสนาที่จะเป็นศาสนาอย่างสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบครบตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการที่นักการศาสนาจัดไว้ โดยจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

หลวงวิจิตรวาทการ (2546 : 17-19.) และเสฐียร พันธรังสี (2546 : 12.) กล่าวไว้ในลักษณะเดียวกันว่า คำว่า ศาสนา มีลักษณะหลายประการประกอบกัน คือ

1) ศาสนาต้องเป็นเรื่องที่เชื่อถือโดยความศักดิ์สิทธิ์ และไม่ใช่เชื่อถือเปล่าๆ ต้องเคารพบูชาด้วย

2) ศาสนาต้องมีคำสอนทางธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุผลอันดีงาม

3) ศาสนาต้องปรากฏตัวผู้สอน ผู้ตั้ง ผู้ประกาศ ที่รู้กันแน่นอน และยอมรับว่าเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์

4) ศาสนาต้องมีคณะบุคคลทำหน้าที่โดยเฉพาะสำหรับรักษาความศักดิ์สิทธิ์และคำสอนนั้นสืบต่อมา บุคคลคณะนี้ เรียกกันว่า พระ ถือเป็นวรรณะและเป็นเพศพิเศษ ต่างกับสามัญชน เรียกว่า สมณเพศ

5) ศาสนาต้องมีการกวดขันเรื่องความภักดี ซึ่งเรียกว่า Fidelity หมายความว่าถ้าถือศาสนาหนึ่งแล้วจะไปถือศาสนาอื่นอีกไม่ได้ แม้แต่จะเคารพปูชนียสถานของศาสนาหรือลัทธิอื่นก็ถือเป็นบาป

แสง  จันทร์งาม (2545 : 103.)กล่าวว่า ศาสนาในฐานะเป็นสถาบันต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ 8 ประการ คือ

1) ศาสดาผู้ให้กำเนิด

2) ประมวลคำสอน

3) คัมภีร์

4) นักบวช

5) ศาสนิกชน

6) ศาสนสถาน

7) ศาสนวัตถุ

8) สัญลักษณ์ทางศาสนา

เดือน คำดีกล่าวไว้ในลักษณะเดียวกันว่า ศาสนามีองค์ประกอบมากมายหลายอย่าง แต่ที่ถือว่าสำคัญที่สุดมี 5 ประการ คือ

1) ศาสดา คือ ผู้ตั้งศาสนาหรือผู้สอนดั้งเดิม

2) คัมภีร์ศาสนา คือ ที่รองรับหลักธรรมคำสอนในศาสนานั้นๆ

3) นักบวชหรือผู้สืบต่อศาสนา

4) ศาสนสถาน คือ สถานที่สำคัญของศาสนา หรือปูชนียสถาน

5) สัญลักษณ์ คือ เครื่องแสดงออกของศาสนาด้านพิธีกรรมและปูชนียวัตถุ(เดือน คำดี.2541 : 29.)

ตามทัศนะของนักวิชาการที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าศาสนาอย่างสมบูรณ์ต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1) ศาสดา คือ ผู้ก่อตั้งศาสนา ซึ่งต้องมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์

2) ศาสนธรรม คือ คำสอนซึ่งเป็นหลักของศาสนา มีคัมภีร์เป็นที่รวบรวม คำสอน

3) ศาสนทายาท คือ บุคคลผู้สืบทอดคำสอนของศาสนา ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาโดยตรง

4) ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องมาจากคำสอนของศาสนา

5) ศาสนสถาน คือ สถานที่ประกอบศาสนกิจและศาสนพิธีต่างๆ

6) ศาสนิกชน คือ บุคคลผู้นับถือเลื่อมใสศรัทธาในศาสนานั้นๆ

องค์ประกอบทั้งหมดนี้ บางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหนึ่งไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ขาดองค์ประกอบข้อที่หนึ่ง คือ ศาสดาไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ศาสนาอิสลามขาดองค์ประกอบข้อ 5 คือ ศาสนบุคคล เพราะผู้นับถือศาสนาอิสลามไม่มีการถือเพศเป็นบรรพชิต คงมีแต่เพศฆราวาสเท่านั้น

การศึกษาองค์ประกอบของศาสนาๆเดียว อาจไม่ชัดเจนพอ เพราะฉะนั้นควรจะได้พิจารณาถึงองค์ประกอบของศาสนาหลายศาสนา เพื่อความรู้ความเข้าใจในแต่ละศาสนาว่ามีองค์ประกอบแตกต่างอย่างไร ดังจะได้นำเสนอรายละเอียดองค์ประกอบของศาสนาทั้ง 6 ศาสนา ตามลำดับ ต่อไปนี้

1. องค์ประกอบของศาสนาเชน

2. องค์ประกอบของศาสนาเต๋า

3. องค์ประกอบของศาสนาขงจื้อ

4. องค์ประกอบของศาสนาโซโรอัสเตอร์

5. องค์ประกอบของศาสนายิว

6. องค์ประกอบของศาสนาชินโต 

1. องค์ประกอบของศาสนาเชน

1.1 ศาสดา

ศาสดาของศาสนาเชน คือ มหาวีระ มีพระนามเดิมว่า วรรธมานะ แปลว่า ผู้เจริญ ประสูติ ณ นครเวสาลี แคว้นวัชชี ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ประมาณ 10 ปี หรือ 12 ปีก่อนการประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนา หรือในราว 635 ปีก่อนคริสตศักราช ทรงเป็นพระโอรสของกษัตริย์สิทธารถ บางแห่งเรียกว่า เศรยาม ซึ่งเป็นกษัตริย์ตระกูลชญษตฤ และพระนางตริศลาซึ่งเป็นกนิษฐภคินีของพระเจ้าเวฏกะแห่งแคว้น วิเทหะ ส่วนคำว่า มหาวรีระ นั้นเป็น สมญานามซึ่งได้ในภายหลังเพราะความกล้าหาญพระองค์ทรงเป็นพระโอรสองค์สุดท้าย โดยมีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ และพระเชษฐภาดาอีก 1 พระองค์(เสฐียร พันธรังษี.2546 : 100.)

1.2 ศาสนธรรม

คัมภีร์ของศาสนาเชน เรียกว่า อังคะ (หรืออาคมะ) เป็นจารึกคำบัญญัติหรือวินัย และ สิทธานตะ เป็นคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องราวประเภทชาดกในศาสนา แต่นักปราชญ์ในยุคต่อมามีความเห็นว่า คัมภีร์อังคะและสิทธานตะเป็นคัมภีร์เดียวกัน(เสฐียร พันธรังษี, 2546 :117-118.) 

1.3 ศาสนทายาท และนิกาย

นิกายที่สำคัญในศาสนาเชน มี 2 นิกายใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้

1) นิกายทิคัมพร นิกายนี้เป็นนิกายเปลือยกายหรือนักบวชแบบชีเปลือย ปฏิบัติโดยเคร่งครัด ทรมานตนให้ลำบากนานัปการ ไม่ใส่เครื่องปกปิดร่างกาย นักบวชในศาสนาเชนจะมีเพียงไม้กวาดและผ้ากรองน้ำเพื่อมิให้สิ่งมีชีวิตถูกเบียดเบียนหรือต้องตายเพราะตน นิกายนี้ไม่ยอมให้ผู้หญิงปฏิบัติตาม และผู้หญิงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เว้นไว้แต่จะเกิดเป็นชายเสียก่อน

2) นิกายเศวตัมพร นิกายนี้เป็นนิกายที่นุ่งขาวห่มขาวเพียงเพื่อปกปิดร่างกายเท่านั้น เพราะยังมีความละอายใจที่ต้องเปลือยกาย ส่วนมากนิกายเศวตัมพรอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งมีอากาศหนาวมากกว่าทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งพวกนิกายทิคัมพรอาศัยอยู่ ในนิกายนี้ปรากฏมีนักบวชหญิงด้วย (สุชีพ ปุญญานุภาพ. 2541 : 171-172.) 

1.4 ศาสนพิธี

พิธีกรรมสำคัญของศาสนาเชน มีเพียงพิธีกรรมเดียว คือ พิธีภารยุสะนะ หรือพิธีปัชชุสนะ เป็นพิธีรำลึกถึงศาสดามหาวีระ เป็นพิธีกรรมที่ถือว่าเป็นจารีตสำคัญที่จะเลิกถอนไม่ได้ และเชื่อว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด (พิมพ์ ธมฺมธรเถร).2548 : 446-448.)

1.5 ศาสนสถาน

วิหารเชน ที่เมืองรานัคปูร์ เป็นวิหารที่สร้างจากหินอ่อนทั้งหลัง ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาอราวลี ส่วนรูปเคารพเป็นรูปของมหาวีระองค์ศาสดา เป็นสัญลักษณ์คล้ายกับศาสนาพุทธ คือพระพุทธรูป เป็นสัญลักษณ์ต่างกันแต่รูปมหาวีระเป็นรูปเปลือย(สุชีพ ปุญญานุภาพ. 2541 :170.)

1.6 ศาสนิกชน

ศาสนิกผู้นับถือประมาณสองล้านกว่าคนทั่วอินเดีย โดยมากเป็นพ่อค้าวาณิชย์ฐานะค่อนข้างดีมีอันจะกิน ศาสนานี้เก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ในอินเดียเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าเผยแผ่ไปสู่ต่างประเทศเลย ศาสนาเชนถึงแม้จะเกิดมานานแล้ว แต่ก็มีผู้นับถือจำนวนน้อย นับถือกันอยู่ในอินเดียเท่านั้น (จินดา จันทร์แก้ว.2532 : 54.)

2. องค์ประกอบของศาสนาเต๋า

2.1 ศาสดา

ศาสดาของศาสนาเต๋า คือ เล่าจื๊อ (Lao-Tze) เกิดก่อน ค.ศ. 604 ปี หรือประมาณก่อนพุทธศักราช 61 ปี มีชีวิตระหว่าง 604-520 ก่อนคริสตศักราช เกิดในตระกูลลี บิดามารดาเป็นชาวนายากจนในสมัยราชวงศ์จิว (ประมาณ 1122-255 ก่อน ค.ศ.) ณ หมู่บ้านจูเหยน ในเมืองโฮนาน ภาคกลางของประเทศจีน กล่าวกันว่า ท่านเกิด ณ บริเวณใต้ต้นหม่อน พอคลอดออกจากท้องแม่ มีผมขาวโพลนตั้งแต่เกิด จึงได้นามว่า เล่าจื๊อ หรือ เล่าสือ แปลว่า เด็กแก่ หรือ เฒ่าทารก

2.2 ศาสนธรรม

คัมภีร์เต้า เตก เกง บางแห่งเรียกว่า เต๋า เต๋อ จิง ก็มี มาจากคำว่า "เต้า" หรือ "เต๋า" แปลว่า ทาง "เตก" แปลว่า บุญ ความดี หรือคุณธรรม " เกง" แปลว่า สูตร หรือวรรณคดีชั้นสูง รวมกันแล้วอาจแปลได้ความว่า คัมภีร์แห่งเต๋าและคุณความดี อักษรจารึกเป็นภาษาจีน จัดเป็นหัวข้อได้ 81 ข้อ เป็นถ้อยคำ 5,500 คำ แบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคต้นมีจำนวน 37 บท และภาคปลายมีจำนวน 44 บท (ภัทรพร สิริกาญจนและคณะ. 2546 : 117.) 

2.3 ศาสนทายาท

นักพรตจาง เต๋า หลิง เป็นอาจารย์สวรรค์ (ภาษาจีนคือ เทียนจื๊อ) คนแรก และมีนักบวชที่เรียกว่า “เต้าสื่อ” หรือ “เต้ายิ้น” มีศาสนสถาน และพิธีกรรมเป็นของตนเอง(มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย. 2556.(ออนไลน์)) ศาสนาเต๋าปัจจุบัน ไม่มีประมุข หรือองค์การบริหารส่วนรวมเหมือนบางศาสนา แต่ยังมีวัด มีนักบวชชายหญิง มีศาลเจ้า มีสมาคม แพร่หลายอยู่ในกลุ่มชาวจีน แต่รูปลักษณะของศาสนาได้ผิดเพี้ยนไปจากหลักการในคัมภีร์เต้าเต็กเก็งมาก คือเน้นไปทางทรงเจ้า บูชาเจ้า เป็นลักษณะพหุเทวนิยม มีการจำหน่ายเครื่องลางของขลัง ทำพิธีขับไล่ผี เป็นต้น แต่มีบางกลุ่มมีการปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักคัมภีร์เต้าเต็กเก็ง (ศาสนาเต๋า : เศรษฐกิจพอเพียง.2556.(ออนไลน์))

2.4 ศาสนพิธี

เดิมทีเดียวคำสอนเล่าจื๊อในฐานะปรัชญาไม่มีพิธีกรรม แต่เมื่อได้รับการพัฒนาจนกระทั่งเป็นศาสนาเต๋านั้น มีพิธีกรรมที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

1. พิธีบริโภคอาหารเจ ศาสนิกชนเต๋าในสมัยต่อมาได้ปรับให้มีความประพฤติ ปฏิบัติชอบโดยนำเอาศีล 5 ทางพุทธศาสนาไปเป็นแนวปฏิบัติ และมีการบริโภคอาหารแบบมังสวิรัติ คือ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์

2. พิธีปราบผีปีศาจ ศาสนิกชนเต๋าเชื่อว่า ภูตผีปีศาจร้ายต่างๆ นั้น สามารถที่จะขับไล่และป้องกันได้ ถ้ารู้จักวิธี เช่น ถ้าเดินป่าก็ต้องร้องเพลงหรือผิวปากให้เป็นเสียงเพลง ผีเจ้าป่าไม่ชอบเสียงเพลง เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็จะหนีให้ห่างไกลเหมือนยุงกลัวควันไฟ เป็นต้น

3. พิธีกรรมไล่ผีร้าย ศาสนิกเต๋าเชื่อว่า มีภูตผีปีศาจร้ายมากมายคอยหลอกหลอนทำร้ายผู้คน เช่น ปรากฏร่างน่าเกลียดน่ากลัว หรือทำเสียงแปลกๆ เป็นต้น จึงเกิดกรรมวิธีไล่ผีร้ายขึ้นมา โดยมีพระเต๋าเป็นผู้ประกอบพิธี

4. พิธีส่งวิญญาณผู้ตาย คนจีนให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษมาก ถือเรื่องสายโลหิตเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อมีญาติตายจะต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อช่วยให้วิญญาณคนตายไปสู่สุคติ อยู่อย่างเป็นสุข ไม่ถูกผีปีศาจร้ายรบกวน

5. พิธีกราบไหว้บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ ชาวจีนไม่เฉพาะศาสนิกชนเต๋าเท่านั้น นิยมกราบไหว้บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษอย่างลึกซึ้ง พวกเขามีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า สิ่งทั้งหลายมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ทั้งหมด และเชื่อว่าถ้าลูกหลานมีความกตัญญูกราบไหว้วิญญาณบรรพบุรุษแล้ว วิญญาณเหล่านั้นจะต้องดูแลคุ้มครองลูกหลาน ผู้ยังมีชีวิตอยู่ให้มีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

2.5 ศาสนสถาน

วัดหรือสถานที่ทำพิธีกรรมของลัทธิเต๋ามีลักษณะเหมือนศาลเจ้าของจีนโดยทั่วๆ ไปเพียงแต่การตบแต่งภายในที่จะตั้งแท่นที่บูชานั้น ออกจะพิถีพิถันและมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ ภายในศาลเจ้านิยมติดภาพเขียนของเหล่าเทพเจ้า และปรมาจารย์คนสำคัญของลัทธิเต๋า

2.6 ศาสนิกชน

ปัจจุบันศาสนาเต๋ายังมีผู้นับถืออยู่ มีนักบวชชายหญิง มีศาลเจ้า มีสมาคมในหมู่ชาวจีน มีโรงเจสำหรับคนบริโภคอาหารมังสวิรัติอยู่ทั่วไป ศาสนิกของศาสนาเต๋า ในปัจจุบันมีประมาณ 183 ล้านคน กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ชาวจีนอาศัยอยู่มาก เช่น ประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน(ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์.2545 : 109-111.)

3. องค์ประกอบของศาสนาขงจื้อ

3.1 ศาสดา

ศาสนาขงจื๊อมีผู้ก่อกำเนิดในฐานะเป็นศาสดา นั่นก็คือ ขงจื๊อ คำว่า ขง เป็นชื่อสกุล คือ ตระกูลขง ส่วนคำว่า จื๊อ แปลว่า ครู อาจารย์ หรือนักปราชญ์ เมื่อรวมกันเข้าก็คงแปลได้ความว่า นักปราชญ์ของตระกูลขง

3.2 ศาสนธรรม

คัมภีร์หลักคำสอนของขงจื๊อแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. เก็งหรือ กิง 5 เป็นงานเขียนของขงจื๊อโดยตรง เรียกว่า เก็ง หรือ กิง หมายถึง วรรณคดีชั้นสูง 5 ประการ คือ

1) ยิ-กิง ได้แก่ คัมภีร์แห่งความเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยความรู้ทางจักรวาลวิทยา แสดงความเป็นมาของโลก

2) ซู-กิง ได้แก่ คัมภีร์ประวัติศาสตร์ คัมภีร์เล่มนี้ไม่ใช่เป็นเพียงบันทึกเอกสารทางประวัติศาสตร์และข้อเขียนในสมัยโบราณเท่านั้น แต่ยังกล่าวถึงปรัชญาทางศีลธรรมที่ลึกซึ้งอันเป็นรากฐานแห่งทัศนะทางศีลธรรมของศาสนาขงจื๊อ

3) ซี-กิง ได้แก่ คัมภีร์แห่งบทกวี เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมกวีเก่าแก่ของจีน กล่าวกันว่ามีจำนวนถึง 305 บท

4) ลิ-กิง ได้แก่ คัมภีร์แห่งพิธีกรรม กล่าวถึงมารยาททางสังคมและพิธีกรรมต่างๆ

5) ชุน-ชิว ได้แก่ คัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เป็นบันทึกประจำปีเกี่ยวกับเหตุการณ์ในแคว้นลู่ นับได้ว่าเป็นประมวลจริยธรรมทางรัฐศาสตร์การปกครองที่ดียิ่งคัมภีร์หนึ่ง

2. ซู ทั้ง 4

คำว่า "ซู" แปลว่า หนังสือหรือตำรา เป็นงานที่หลานและศิษย์ของขงจื๊อเรียบเรียงรวบรวมขึ้น มีลักษณะเป็นประมวลคำสอนของขงจื๊อและแสดงหลักคำสอนของขงจื๊อ มี 4 ประการ ดังต่อไปนี้

1) ต้า-เสี่ยว แปลว่า อุดมศึกษา เป็นข้อความเกี่ยวกับศีลธรรม มีผู้กล่าวว่าเป็นข้อเขียนของขงจื๊อเอง แต่ลักษณะที่มิได้จัดเข้าในเก็งหรือกิงทั้ง 5 ทำให้เห็นว่าน่าจะมี ผู้รวบรวมขึ้นในภายหลัง

2) จุน-ยุง แปลว่า คำสอนเรื่องทางสายกลาง เป็นหนังสือที่ให้ข้อคิดเห็นทางศีลธรรมอันเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้จักประมาณตน ความสมดุล ความเหมาะสม และความจริงใจ กล่าวกันว่าเป็นข้อเขียนของหลานชายของขงจื๊อในรูปแบบการบันทึกคำพูดของขงจื๊อไว้

3) ลุน-ยู แปลว่า รวมภาษิตของขงจื๊อ เป็นประมวลคำสอนของขงจื๊อซึ่งศิษย์ทั้งหลายของขงจื๊อได้รวบรวมไว้ นอกจากนี้ในหนังสือเล่มนี้ยังมีประวัติบางตอนของขงจื๊อปรากฏอยู่ด้วย

4) เม่ง- จื๊อ เป็นคัมภีร์ที่เม่งจื๊อผู้เป็นศิษย์ของขงจื๊อได้รวบรวมไว้

สรุปได้ว่า คัมภีร์ของศาสนาขงจื๊อ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เป็นข้อเขียนของขงจื๊อเรียกว่า เก็ง หรือ กิงทั้ง 5 กับข้อเขียนที่ศิษย์ของขงจื๊อเรียบเรียงขึ้นในลักษณะเป็นประมวลคำกล่าวของขงจื๊อและแสดงหลักคำสอน เรียกว่า ซู หรือตำราทั้ง 4(สุชีพ ปุญญานุภาพ.2541 : 145-147.)

3.3 ศาสนทายาท

ศาสนาขงจื๊อไม่มีนักบวช เป็นศาสนาที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตของ ชาวจีน ศาสนาขงจื๊อไม่เห็นด้วยกับแนวทางการออบวชอย่างในพุทธศาสนาและศาสนาเต๋า โดยเน้นการแสวงหาความสุขทางจิตใจพร้อมทั้งการทำงานรับใช้สังคมด้วยเช่นเดียวกัน(ภัทรพร สิริกาญจนและคณะ.2546 : 127.)

3.4 ศาสนพิธี

ขงจื๊อได้เขียนข้อสนับสนุนประเพณีโบราณไว้เป็นอันมาก รวมทั้งประเพณี ในการบูชาฟ้าดิน และบูชาบรรพบุรุษด้วย เมื่อขงจื๊อซึ่งเป็นศาสดาได้สิ้นไปแล้ว ศาสนาขงจื๊อก็อยู่ในฐานะศาสนาของรัฐ พิธีกรรมในการบูชาจึงแบ่งออกเป็น 6 อย่าง ดังนี้

1) พิธีบูชาขงจื๊อ พิธีกรรมนี้เริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 195 ก่อน ค.ศ. (พ.ศ. 348) กำหนดให้วันเกิดของขงจื๊อ คือวันที่ 27 สิงหาคม เป็นวันหยุดราชการประจำปีของจีนและต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 28 กันยายน

2) พิธีบูชาฟ้า พิธีกรรมนี้กระทำประมาณวันที่ 22 ธันวาคม พระเจ้าจักรพรรดิจีนเป็นประธานในพิธี ถือว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่กระทำติดต่อกันนานที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีนก็ไม่มีการทำพิธีนี้อีก

3) พิธีบูชาดิน พิธีกรรมนี้เป็นการบูชาธรรมชาติหรือเทพประจำธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับการบูชาฟ้า แต่มีความสำคัญน้อยกว่า ผู้ประกอบพิธีจึงเป็นเพียงขุนนางหรือข้าราชการ การบูชาดินนี้ ก็ล้มเลิกในเวลาใกล้เคียงกับการบูชาฟ้า

4) พิธีบูชาพระอาทิตย์ พิธีกรรมนี้กระทำเป็นประจำปี ณ ที่บูชาทางประตูด้านตะวันออกของกรุงปักกิ่ง ประมาณวันที่ 21 มีนาคม

5) พิธีบูชาพระจันทร์ พิธีกรรมนี้กระทำเป็นประจำปี ณ ที่บูชาทางประตูด้านตะวันตกของกรุงปักกิ่ง ประมาณวันที่ 22 หรือ 23 กันยายน(สุชีพ ปุญญานุภาพ. 2541 : 126-129.)

6) พิธีบูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ พิธีกรรมนี้เป็นการระลึกถึงบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว แสดงถึงความกตัญญูที่มีต่อ ผู้มีพระคุณ

พิธีกรรมที่สำคัญของศาสนาขงจื๊อมี 6 พิธี แต่พิธีกรรมทั้งหมดนั้นมีเพียง 5 พิธีกรรมแรกเท่านั้นที่เป็นรัฐพิธี แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน พิธีบูชาต่างๆที่เคยเป็นรัฐพิธีก็ถูกยกเลิกไป คงเหลืออยู่เพียงการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษที่ชาวจีนยังคงกระทำกันอยู่ แต่ก็มิได้เป็นรัฐพิธีเหมือนเดิม

3.5 ศาสนสถาน

ศาสนาขงจื๊อไม่มีวัด มีแต่ศาลเจ้าของขงจื๊อ

3.6 ศาสนิกชน

ชาวจีนส่วนมากยังคงปฏิบัติอยู่ตลอดจนมีสมาคมขงจื๊ออยู่มากแห่ง ในประเทศไต้หวันวันเกิดของขงจื๊อได้รับการยกย่องให้เป็นวันครูแห่งชาติ (จินดา จันทร์แก้ว.2532 : 108.)

4. องค์ประกอบของศาสนาโซโรอัสเตอร์

4.1 ศาสดา

ศาสดาของศาสนานี้คือ โซโรอัสเตอร์ หรือเรียกอีกชื่อว่า ซาราธุสตระหรือ ซาราธุสตรา เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก่อน ค.ศ. ตามประวัติกล่าวว่ามีชีวิตอยู่ในระหว่าง 660-553 ก่อนคริสตกาล

4.2 ศาสนธรรม

คัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ คือ คัมภีร์อเวสตะ คำว่า อเวสตะ แปลว่า ความรู้ ตรงกับคำว่า เวทะ ในศาสนาฮินดู แบ่งออกเป็น 5 หมวดใหญ่ ดังนี้ 1) ยัสนะ (Yasna) เป็นส่วนที่ว่าด้วยพิธีกรรมบวงสรวงต่อพระเจ้า 2) วิสเปอรัท (Visperad) เป็นส่วนว่าด้วยบทสวดอ้อนวอนและบูชาพระเจ้า 3) เวทิทัท (Vedidad) เป็นบทสวดในการขับไล่ภูตผีปีศาจและมีเรื่องเกี่ยวกับจักรวาล ประวัติศาสตร์ และคำสอนเรื่องนรกสวรรค์ 4) ยัสถส์ (Yasths) แต่งเป็นคาถาว่าด้วยเรื่องราวศาสนาโซโรอัสเตอร์ ใช้เป็นคัมภีร์หลักในการประกอบพิธีกรรม และ5) โขรทา-อเวสตะ (Khorada Avesta) เป็นคู่มือบทสวดอย่างย่อสำหรับศาสนิก(เสฐียร พันธรังษี. 2546 : 254-255.)

4.3 ศาสนทายาท

พวกพระมากีในตอนแรกๆ ไม่ได้นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ แต่รู้จักคำสอนของโซโรอัสเตอร์เป็นอย่างดี ในสมัยสาสาเนีย จึงมีการแต่งตั้งพระตำแหน่งมากุนัท หรือหัวหน้ามากี ตำแหน่งอีท์รพัท แต่เดิม คือ ครูสอนศาสนา ต่อมาได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลไฟ ส่วนพระในตำแหน่งเฮอร์บัด หรือ เออร์วัด เป็นตำแหน่งพระในระดับต่ำ มีความสำคัญในการประกอบพิธีกรรมในฐานะผู้ช่วยพระ พระชั้นเหนือระดับนี้ขึ้นไป เรียกว่า โมเบด และพระชั้นสูงที่สุด เรียกว่า ทัสทุระ พระตำแหน่งนี้ เป็นผู้บริหารโบสถ์ หรือมากกว่า ตำแหน่งพระเป็นตำแหน่งสืบต่อกันเป็นมรดก แต่ผู้สืบต่อจะต้องมีคุณสมบัติพอ (www.indiaindream.com/.2556.(ออนไลน์)

4.4 ศาสนพิธี

ก่อนที่จะมีการนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ แต่เดิมมาชาวอารยันในอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ นิยมการบูชายัญ เพื่อเซ่นสรวงอ้อนวอนเทพเจ้า ต่อมาเมื่อได้ยอมรับนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์แล้ว ได้เปลี่ยนหลักปฏิบัติจากการบูชายัญมาเป็นการสวดมนต์อ้อนวอนเพื่อขอให้พระอหุระ มาซดะ ประทานชีวิตที่ดี ที่ถูกต้องแก่พวกเขา ในขณะสวดมนต์บางทีก็เผาไม้หอม จำพวกแก่นจันทร์ ทำให้ภายในโบสถ์มีกลิ่นหอมอบอวลอยู่เสมอ ในทุกๆปี ชาวโซโรอัสเตอร์จะต้องทำศาสนกิจนี้เป็นประจำ โดยนำไม้แก่นจันทร์ติดตัวไปด้วย หลังจากเผาไฟแล้ว เขาจะนำขี้เถ้ากลับไปบ้านทุกครั้ง เพราะถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมที่สำคัญอื่นๆ เช่น

1. พิธีปฏิญาณตนเข้านับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์  เมื่ออายุครบ 7 ปี ในอินเดีย และ10 ปีในอิหร่าน และจะได้รับเสื้อ และกฤช ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับกายตลอดชีวิต

2. พิธีนวโชติ ศาสนิกชนศาสนาโซโรอัสเตอร์ไม่ว่าชาย หรือหญิง เมื่ออายุได้ 15-17 ปี จะต้องเข้าพิธีนวโชติด้วยการสวมด้ายมงคล ชายและหญิงที่ผ่านพิธีกรรมนี้แล้ว เรียกว่า ผู้เกิดใหม่

3. พิธียัสนะ เป็นพิธีบวงสรวงเทพเจ้าด้วยโสม หรือเหล้าศักดิ์สิทธิ์ เป็นพิธีจัดขึ้นหน้ากองไฟ และมีการสวดมนต์ในคัมภีร์อเวสตะอีกด้วย

4. พิธีบูชาไฟ  ชาวโซโรอัสเตอร์ถือว่า ไฟ เป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรง แสงสว่างยิ่งกว่าแสงสว่างใดๆ ผู้ประทานความอบอุ่นให้แก่มวลมนุษยชาติ ศาสนิกชนแห่งโซโรอัสเตอร์จึงนิยมบูชาไฟ โดยจะจุดไฟเพื่อบูชาไว้ไม่ขาดสาย จะคอยระวังไม่ให้ไฟดับ

5. พิธีศพ  เมื่อมีคนตายตามประเพณีของโซโรอัสเตอร์ จะนำสุนัขตัวหนึ่งซึ่งมี 4 ตา คือมีจุดที่เหนือตาข้างละจุดมาไว้ใกล้ๆศพ นำสุนัขมามองศพวันละ 5 ครั้ง ภายหลังการกระทำครั้งแรกแล้ว จะนำไฟมาไว้ในห้องที่ศพอยู่ จะต้องรักษาไฟไม่ให้ดับจนครบ 3 วัน จึงย้ายศพไปไว้ในหอคอยแห่งความสงบ จะกระทำการย้ายศพในเวลากลางวัน และทิ้งศพไว้ให้เป็นเหยื่อนกแร้ง

4.5 ศาสนสถาน

ฮีโรโดตุส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีซ ได้เขียนไว้ว่า ชาวอิหร่านไม่มีโบสถ์ทางศาสนา แต่มีการค้นพบโบสถ์ของชาวอิหร่านในเวลาต่อมา มีลักษณะเป็นเฉลียง หรือเป็นหอคอย หรือเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส และยังพบชาฮาร์ทัก ซึ่งเป็นอาคารศักดิ์สิทธิ์ มีประตู 4 แห่ง โบสถ์เช่นนี้มีกระจัดกระจายทั่วไปในอิหร่าน ปัจจุบันเป็นวิหารจะมีพระคอยจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ให้ลุกช่วงอยู่ตลอดเวลา เช่น วิหารไฟในเมืองยัซดฺ ประเทศอิหร่าน(www.indiaindream.com/. 2556.(ออนไลน์))

4.6 ศาสนิกชน

ศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย เรียกว่า ชาวปาร์ซี มีประมาณ 100,000 คน ดังนั้น เมืองบอมเบย์จึงกลาย เป็นศูนย์กลางของศาสนาโซโรอัสเตอร์ในปัจจุบัน ชาวปาร์ซีที่อยู่ในประเทศอิหร่านอีกประมาณ 11,000 คน เรียกว่า พวกกาบารส์ (Gabars) แปลว่า พวกนอกศาสนา ซึ่งเป็นคำที่ชาวมุสลิมเรียกชาวปาร์ซี นอกจากนี้ ชาวปาร์ซียังอาศัยอยู่ในส่วนอื่นๆของโลกอีกด้วย เช่น ดินแดนแถบอเมริกาเหนือ ประชากรที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ทั้งหมดมีประมาณ 250,000 คน

ปัจจุบันยังคงมีความศรัทธาเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นอยู่กับคำสอนมาแต่โบราณว่าด้วยการทำสงครามต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่ว แต่ถึงกระนั้นชาวโซโรอัสเตอร์ก็ดูจะไม่สนใจเผยแผ่ศาสนาให้แพร่หลายออกไปสู่โลกภายนอก แต่ยังพอใจที่จะอนุรักษ์ไว้สำหรับชาวโซโรอัสเตอร์ด้วยกันเท่านั้น ทั้งมีทีท่าจะถูกศาสนาอื่นกลืนอีกด้วย ส่วนชาวโซโรอัสเตอร์ในประเทศอิหร่าน ก็อยู่ในฐานะลำบาก เพราะถูกมุสลิมรังแก(www.indiaindream.com/.2556.(ออนไลน์))

5. องค์ประกอบของศาสนายิว

5.1 ศาสดา

ศาสนายิวมีโมเสสเป็นศาสดา และมีศาสดาพยากรณ์ที่สำคัญอยู่ 16 ท่าน ศาสนายิวมีความเชื่อเรื่อง เมสสิอาห์ กล่าวคือ ตัวแทนของพระเจ้าที่จะมาช่วยชาวยิว ชาวยิวมีความเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งพระเจ้าจะประทานแผ่นดินให้ยิวอีก เพราะชาวยิวเป็นประชากรของพระเจ้า และเป็นชาติที่พระเจ้าทรงเลือก ศาสนายิวเป็นศาสนาที่นับถือนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว คือ พระยะโฮวาห์ หรือเยโฮวาห์ ชาวยิวก็ยังยึดถือคัมภีร์โตราห์เป็นธรรมนูญชีวิตอีกด้วย(นงเยาว์ ชาญณรงค์.2539 : 360.)

5.2 ศาสนธรรม

คัมภีร์สำคัญของศาสนายิว คือ พระคัมภีร์ไบเบิล แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ภาคพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) และ 2) ภาคพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) (เสฐียร พันธรังษี.2546 : 307.) ส่วนที่เป็นภาคพันธสัญญาเดิมเท่านั้นที่เป็นส่วนของศาสนายิว จารึกด้วยภาษาเฮบรู ต่อมาภายหลังจึงได้แปลเป็นภาษากรีก ละติน และภาษาอังกฤษ โดยชาวยิวเรียกคัมภีร์ของศาสนาตนว่า "ตานัค" (Tanakh)

5.3 ศาสนทายาท

นักบวชยิวจะต้องมาจากตระกูลเลวี (Levites) ส่วนมาก แรบไบนั้นอาจเป็นใครก็ได้ แต่ต้องเป็นฆราวาสที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ความสามารถ ในการตีความพระคัมภีร์ ดังนั้น แรบไบ (rabbi) ซึ่งฮอพฟ์(องค์การเผยพระคริสต์ธรรม.2517 : 100.) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ครูของฉัน” (my master ) ทำหน้าที่ตีความบทบัญญัติ ก็คือผู้เชี่ยวชาญทางศาสนานั่นเอง แต่ไม่ใช่ผู้ที่ทำพิธีทางศาสนา เพราะหน้าที่นี้เป็นของตระกูลเลวี ซึ่งแต่เดิมมาในอดีตพวกเลวีทำหน้าที่ทางศาสนาในตำแหน่งปุโรหิตมีหน้าที่ปฏิบัติงานต่างๆ ภายในเต็นท์นัดพบ เช่น ดูแลหีบพระบัญญัติ ดูแลโต๊ะ คันประทีป แท่นบูชา เครื่องใช้นมัสการ การถวายอาหาร การดูแลน้ำมันตามตะเกียง นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่หามหีบพระบัญญัติเร่ร่อนไปตามถิ่นต่างๆ ตระกูลเลวีทำหน้าที่นี้ ต่อเนื่องกันมาช้านานจนกระทั่งปัจจุบัน(มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย. 2556.(ออนไลน์))

5.4 ศาสนพิธี

พิธีกรรมที่สำคัญของศาสนายิวมีหลายพิธี มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

1. วันสับบาธ หรือสะบาโต (Sabbath) ศาสนายิวเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกเพียง 6 วัน ส่วนวันที่ 7 พระเจ้าได้สร้าง ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว จึงหยุดในวันนี้ โดยกำหนดให้วันที่เจ็ดเป็นวันที่ต้องทำจิตให้สงบเพื่อระลึกถึงพระเจ้าในวันที่ 7 เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นพระอาทิตย์ตกของวันศุกร์ไปจนกระทั่งถึงตอนเย็นพระอาทิตย์ตกของวันเสาร์

2. เทศกาลอพยพ (Passover)  เทศกาลนี้เริ่มในวันที่ 15 ตามปฏิทินของพวกเฮบรู ประมาณเดือนนิซัน ซึ่งอยู่ในราวประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน เทศกาลนี้มีทั้งหมด 8 วัน จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการที่ ชาวเฮบรูได้อพยพออกจากอียิปต์ พ้นจากความเป็นทาสไปสู่ความเป็นอิสระ เร่ร่อนหาดินแดนที่พระเจ้าทรงประทานให้

3. พิธีชาวูออท (Shavuot) หรือ งานฉลองพืชผลครั้งแรก พิธีนี้กระทำหลังจากเทศกาลอพยพผ่านไปแล้ว 50 วัน ตามปฏิทินของเฮบรู จะอยู่ในช่วงเดือนสิวัน ซึ่งอยู่ในราวประมาณเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เป็นการฉลองให้กับการเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่ครั้งแรก ในขณะเดียวกันวันนี้จะตรงกับวันที่โมเสสได้รับบัญญัติ 10 ประการที่ภูเขาซีไน

4. วันปีใหม่ หรือ รอช ฮาชานาห์ (Rosh Hashanah) วันปีใหม่ของชาวยิวจะนิยมฉลองกันในวันแรก และวันที่สองของเดือนติชเร ซึ่งอยู่ในราวประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม

5. วันชดใช้บาป หรือวันแห่งการแก้ไขความประพฤติ (The Day of Atonement) ศาสนายิว เรียกวันนี้ว่า "ยม คิปปูร์" (Yom Kippur) เชื่อกันว่า วันนี้เป็น วันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเพราะมีการยกเลิกบาปและคืนดีต่อกัน โดยนิยมฉลองกันในวันที่ 10 ของเดือนติชเร ซึ่งอยู่ในราวประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม ในวันนี้ชาวยิวจะหยุดงาน หยุดกินอาหาร และไม่ดื่มอะไรทั้งสิ้น แต่จะไปชุมนุมกัน ณ สถานที่นมัสการ เพื่อสวดมนต์และอภัยบาปต่อกัน(Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward, 2007 : 260.)

6. งานพิธีกรรมซุกคอท (Sukkot) งานนี้เริ่มต้นในวันที่ 15 ของเดือนติชเร ซึ่งอยู่ในราวประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม แต่เดิมนั้นงานนี้เป็นงานฉลองพืชผลในฤดูใบไม้ร่วง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นการฉลองเพื่อระลึกถึงวิถีชีวิตของยิวที่ต้องอพยพเร่ร่อน และต้องผูกพันชะตาชีวิตอยู่กับพระมหากรุณาของพระผู้เป็นเจ้า พิธีนี้ไม่นิยมเฉลิมฉลองในบ้าน แต่ละครอบครัวจะจำลองสภาพชีวิตที่เคยเดินทางอยู่ในทะเลทราย

7. งานเลี้ยงปูริม (Purim) หรือวันแห่งโชคชะตา (The Feast of Lots) งานตรงกับวันที่ 14 ของเดือนอาดาร์ (Adar) ซึ่งอยู่ในราวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม เป็นวันที่ระลึกถึงชัยชนะที่มีต่อศัตรูนอกศาสนาของชาวยิว (Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward, 2007 : 261.)

8. พิธีกรรมเข้าสุหนัต พิธีนี้กระทำเมื่อเด็กชายมีอายุ 8 วัน พวกเขาจะถูกนำเข้าในที่ประชุม จากนั้นผู้ทำสุหนัตซึ่งเรียกว่า โมเฮล (Mohel) จะทำการขลิบหนังหุ้มปลายองคชาติ (ธรรมกาย. 2550 : 310.)

9. พิธีบาร์ มิตซวาห์ (Bar Mitzvah) เมื่อเด็กชายยิว มีอายุ 13 ปี จะต้องเข้าพิธีนี้เพื่อแสดงว่า พวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่หลังจากที่ผ่านพ้นอายุ 13 ปีไปแล้ว ในวันสับบาธหรือสะบาโตต่อมา เขาจะต้องอ่านพระคัมภีร์ ณ สถานที่นมัสการ และมีโอกาสที่จะได้แสดงสุนทรพจน์ทางศาสนา ในวันนี้(Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward, 2007 : 261.)

10. พิธีแต่งงาน (Kiddushin) พิธีแต่งงานของยิวเรียกว่า คิดดูชิน เป็นพิธีที่มีความสำคัญมากเพราะเป็นการเพิ่มผลผลิตตามเจตจำนงของพระเจ้า และเป็นการให้สัญญากันระหว่างคน 2 คน ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างซื่อสัตย์ ดังนั้น จึงต้องมีสักขีพยาน และมอบของมีค่าคือแหวน เพื่อเป็นพยานรักโดยเจ้าบ่าวเป็นผู้ให้แก่เจ้าสาว จากนั้นจึงดื่มไวน์ร่วมแก้วเดียวกัน เสร็จแล้วเจ้าสาวจะทุบแก้ว และมอบเอกสารการแต่งงานให้เจ้าบ่าว(ธรรมกาย, 2550 : 311.)

11. พิธีไว้ทุกข์ พิธีนี้เริ่มทำตั้งแต่การทำศพผู้ตายให้สะอาดแล้วแต่งตัวด้วยชุดขาว จากนั้นนำไปทำพิธีศพให้เร็วที่สุด จึงจะไว้ทุกข์ 7 วัน หลังจากทำพิธีฝังศพแล้ว ผู้ไว้ทุกข์ จะต้องนั่งสงบเสงี่ยมภายในบ้านยกเว้นวันสับบาธหรือสะบาโต บางแห่งอาจจะไว้ทุกข์อีก 11 เดือน (ธรรมกาย, 2550 : 311.)

12. พิธีสวดมนต์ ชาวยิวจะพากันสวดมนต์ 3 เวลา คือ เวลาเช้า เวลาบ่าย และเวลาเย็น ซึ่งอาจจะสวดที่ใดก็ได้ เพื่อผูกจิตของตนให้แนบแน่นกับพระเจ้า(ธรรมกาย, 2550 : 311.)

5.5 ศาสนสถาน

แต่เดิมมาพวกบรรพบุรุษของชาวยิว คือ ฮิบรู ไม่เคยสร้าง เมื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา พวกเขาจะทำในเต็นท์ใดเต็นท์หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “เต็นนัดพบ” (Tent of Meeting) ภายในประดิษฐานหีบพันธสัญญา (The Ark of the Covenant) ภายในหีบมีแผ่นหินสองแผ่นจารึกบัญญัติ 10 ประการ เมื่อพวกยิวเร่ร่อนไปที่ใด พวกเขาจะแบกหีบนี้ไปด้วยเหมือนมีพระเจ้าอยู่ใกล้ตัวทำให้เกิดความอบอุ่น และไม่กล้าทำผิดศีลธรรม ยิวเริ่มมาสร้างวิหารในสมัยของพระเจ้าโซโลมอน โดยมีรูปแบบเหมือนกับวิหารของพวกคานาอัน ต่อมาวิหารที่สร้างในสมัยของกษัตริย์โซโลมอนได้ถูกทำลายไป จนกระทั้งภายหลังพวกยิวได้สร้างสถานที่ทำพิธีกรรมตามแบบฉบับของตนเรียกว่า “สถานที่นัมสการ” (Synagogue) อันเป็นที่ชุมนุมทางศาสนา(มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย. 2556.(ออนไลน์))

5.6 ศาสนิกชน

ศาสนิกของศาสนายิวมีทั้งในประเทศอิสราเอลและต่างประเทศ กล่าวคือในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 5 ล้านคน ในแคนาดา ประมาณ 1 ล้านคน ในทวีปยุโรปประมาณ 3 ล้าน 5 แสนคน และในทวีปเอเชียประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบทั้งหมดอยู่ในประเทศอิสราเอล เพราะฉะนั้น ศาสนิกของศาสนายิวจึงมีทั้งหมดประมาณ 12-13 ล้านคน (ธรรมกาย, 2550 : 311.)

6. องค์ประกอบของศาสนาชินโต

6.1 ศาสดา

โดยมากเมื่อกล่าวถึงศาสนาชินโต ก็เป็นที่รู้จักทั่วไปว่าไม่มีศาสดาหรือผู้ตั้งศาสนาเพราะศาสนาชินโตเป็นศาสนาที่เกิดสืบเนื่องมาจากขนบประเพณีในการบูชาบรรพบุรุษ และบูชาเทพเจ้า แต่เมื่อแบ่งศาสนาชินโตออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ชินโตที่เป็นของรัฐ (State Shinto) หรือ ชินโตศาลเทพเจ้า (Shrine Shinto) และชินโตที่เป็นนิกาย (Sectarian Shinto) ชินโตแบบแรกอาจไม่มีศาสดาก็จริง แต่ชินโตแบบหลังที่เป็นนิกายต่างๆ มีศาสดาแน่นอน เช่น นิกายกอนโก มีกอนโกเป็นศาสดาพยากรณ์ เป็นต้น

6.2 ศาสนธรรม

 คัมภีร์ศาสนาชินโตที่สำคัญมีอยู่ 2 คัมภีร์ ดังนี้

1. คัมภีร์โคยิกิ คัมภีร์นี้มีรากฐานอยู่กับขนบธรรมเนียมประเพณี กล่าวถึง นิยาย ตำนาน ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับราชสำนักของพระจักรพรรดิ มีผู้กล่าวกันว่า คัมภีร์ศาสนาชินโต มีลักษณะเป็นเทพนิยายผสมประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ข้อห้าม การปฏิบัติทางไสยศาสตร์ และการปฏิบัติต่อเทพเจ้า

2. คัมภีร์นิฮองงิ หรือนิฮอนโชกิ คัมภีร์นิฮอนโชกินี้ ถือว่าเป็นคลาสสิก คือเป็นวรรณคดีชั้นสูง เป็นคัมภีร์รวม 30 เล่ม 15 เล่มแรกว่าด้วยเทพนิยายและนิยายต่างๆ 15 เล่มหลังว่าด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือกันได้มากที่สุดนอกจากคัมภีร์ทั้งสองเล่มข้างต้นแล้วยังมีคัมภีร์อื่นๆอีก 5 เล่ม ซึ่งมีความสำคัญรองจากสองคัมภีร์ข้างต้น ดังต่อไปนี้ คือ

1) คัมภีร์โกโค ชูอิ คัมภีร์เล่มนี้อิมเบ ฮิโรนาริเป็นคนแต่ง เป็นคัมภีร์ที่อธิบายความหมายแห่งถ้อยคำและการปฏิบัติพิธีกรรมโบราณ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความคิดเห็นของผู้แต่งเกี่ยวกับศาลเทพเจ้าที่อิเสและที่อัทสุตะและเกี่ยวกับฐานะแห่งสกุลของผู้แต่งซึ่งสัมพันธ์กับตระกูลนากาโตมิ และฐานะของตระกูลนากาโตมิ

2) คัมภีร์มันโยชู คัมภีร์เล่มนี้ประมวลบทกวีเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีการรวบรวมในศตวรรษที่ 8 ประกอบด้วยบทกวี 4,500 บท ซึ่งเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 5 จนถึงศตวรรษที่ 8 เป็นบทนิพนธ์ของบุคคลตำแหน่งต่างๆตั้งแต่พระเจ้าจักรพรรดิจนถึงชาวนา นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือได้ทำให้รู้ถึงความเชื่อถือ ขนบประเพณีและความคิดทางศาสนาของคนในสมัยโบราณ

3) คัมภีร์ฟูโดกิ คัมภีร์เล่มนี้เป็นข้อเขียนแสดงภูมิศาสตร์ส่วนภูมิภาคซึ่งเรียบเรียงขึ้นถวาย ราชสำนักตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าจักรพรรดิ ในคริสตศักราช 713 ในปัจจุบันส่วนใหญ่ของคัมภีร์เล่มนี้ได้สูญหายไปยังมีเหลือเป็นเล่มสมบูรณ์เพียงบางเรื่องและเหลือบางส่วน

4) คัมภีร์ไตโฮ-รโย คัมภีร์เล่มนี้จัดเป็นคัมภีร์กฎหมายโบราณที่สำคัญของญี่ปุ่น คัมภีร์เล่มนี้แสดงให้ทราบว่า สำนักราชการแห่งไหนมีความสำคัญสูงสุดในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบูชาในศาสนาชินโต

5) คัมภีร์เองคิ-ชิกิ คัมภีร์เล่มนี้เป็นประมวลกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลระหว่างสมัยแห่งกฎหมายริตซู-รโย (ศตวรรษที่ 7 - 8) เป็นหนังสือ จำนวน 50 เล่ม ซึ่งยังมีปรากฏอยู่จนบัดนี้ คัมภีร์เล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ กฎมณเฑียรบาลแห่งราชสำนักพระเจ้าจักรพรรดิอย่างละเอียด (สุชีพ ปุญญานุภาพ. 2545 : 113-115.)

6.3 ศาสนทายาท

นักบวชของชินโตมีทั้งชายและหญิง นักบวชหญิงจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ นักบวชชายบางนิกายมีครอบครัวได้ ส่วนผู้ทำหน้าที่รับใช้ในวัดจะเป็นผู้ชาย และมีหัวหน้านักบวชทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้ารวมทั้งเป็นประธานในพิธีกรรมต่าง ๆ นักบวชในศาสนาชินโต จะไม่ประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตาย ให้เป็นหน้าที่ของพระในพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ชาวญี่ปุ่นจึงนับถือศาสนาชินโตและศาสนาพุทธไปพร้อมกัน(มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยศาสนศึกษา.2556. (ออนไลน์)

6.4 ศาสนพิธี

 พิธีกรรมที่สำคัญในศาสนาชินโตส่วนใหญ่เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบูชา โดยแบ่งออกเป็นพิธีการบูชาและพิธีเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. พิธีการบูชา พิธีการบูชาในศาสนาชินโตแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้

1) พิธีบูชาในศาสนา พิธีบูชาในศาสนาชินโต คือ การไหว้เทพเจ้า พิธีการนี้ไม่มีเครื่องสังเวย เมื่อชาวญี่ปุ่นจะออกไปไหว้เทพเจ้าจะเตรียมการแต่งตัวให้สะอาด แล้วเข้าไปโค้งคำนับตรงหน้าศาลเจ้าซึ่งมีมากมายหลายแห่ง โดยศาลเจ้าแต่ละแห่งจะมีประตูวิญญาณที่เรียกว่า โทริ เป็นเครื่องหมาย

2) พิธีบูชาธรรมชาติ ชาวญี่ปุ่นถือว่าธรรมชาติต่างๆ บนเกาะญี่ปุ่น เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของเทพเจ้า จึงมีฐานะควรแก่การเคารพบูชา

3) พิธีบูชาบุคคลสำคัญ การบูชาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของศาสนาชินโต ก็คือ การบูชาบุคคลที่เป็นที่เคารพสักการะ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ (1) การบูชาวีรชน ลักษณะที่โดดเด่นประการหนึ่งของชาวญี่ปุ่น คือ ความรักชาติและความเป็นชาตินิยม (2) การบูชาพระจักรพรรดิ ชาวญี่ปุ่นถือว่าองค์จักรพรรดิหรือองค์มิกาโด (Mikado) หรือเทนโน (Tenno) เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์มาโดยไม่ขาดสาย พระจักรพรรดิของญี่ปุ่นมีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวของคนทั้งชาติ ชาวญี่ปุ่นเป็นครอบครัวเดียวกันหมด (3) การบูชาบรรพบุรุษ ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า บรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่น คือ พระอาทิตย์เพราะ พระจักรพรรดิสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพเจ้า

2. พิธีเนื่องในวันนักขัตฤกษ์ ชาวญี่ปุ่นจะจัดให้มีขบวนแห่ มีการบรรเลงดนตรีและเต้นรำ นักบวชมีหน้าที่ทำพิธีอ่านบทสวดเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ศาลเจ้าเพื่อเกิดความเป็นมงคลในชีวิต บ้านเรือนมีความสุข ให้มีผลสำเร็จในการออกรบกับข้าศึก ให้การปกครองเป็นไปด้วยดี และให้พระจักรพรรดิทรงดำรงอยู่ใน ราชสมบัติยั่งยืนนาน

3. พิธีโอโฮฮาราฮิ เป็นพิธีชำระครั้งยิ่งใหญ่ เรียกว่า ความบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ มีการโยนสิ่งของเครื่องสักการะลงไปในแม่น้ำหรือทะเล เพื่อเป็นการลอยบาปหรือเคราะห์กรรมให้พ้นไปจากตัว 

6.5 ศาสนสถาน

 ศาลเจ้าของญี่ปุ่นมีรูปแบบเรียบง่าย ทำด้วยไม้และกระดาษ ทางเข้ามีประตูโทริอิ (tori - i) ที่สร้างด้วยไม้หรือหิน ภายในศาลเจ้ามีสัญลักษณ์ของกามิ คือกระจก แต่บางแห่งอาจจะสร้างรูปเสื้อผ้า หรือดาบ มีที่สำหรับตั้งอาหารเซ่นไหว้ เช่น ข้าว ผัก ปลา เป็ด ไก่ รวมทั้งเหล้าสาเก แต่ต้องไม่เซ่นไหว้ด้วยเลือดเพราะถือเป็นของไม่บริสุทธิ์(มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยศาสนศึกษา. 2556. (ออนไลน์))

6.6 ศาสนิกชน

ศาสนาชินโต แต่ละนิกาย ก็พยายามตอบสนองความศรัทธาของประชาชนในรูปแบบต่างๆ กัน จนแตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ ถึง 377 นิกาย มีลักษณะผสมผสานกับพุทธศาสนาจำนวน 140 นิกาย ที่มีลักษณะเป็นชินโตแท้ๆจำนวน 142 นิกาย นอกนั้นก็มีแนวโน้มผสมผสานแบบคริสต์และอื่นๆบ้างซึ่งก็แตกแขนงออกมาจากพุทธศาสนา ชินโตและศาสนาคริสต์ในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง และประมาณ 29 นิกายที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็น ศาสนาใหม่ นอกเหนือจากนิกายที่ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาในกลุ่มศาสนาใหม่แล้ว นิกาย เทนริเกียวซึ่งเป็นนิกายของศาสนาชินโตตั้งแต่สมัยเมจิ ก็มีการพัฒนาเจริญรุ่งเรือง ยังมีนิกายโอโมโตเกียว นิกายย่อยของกลุ่มนิกายนี้ เช่น นิกาย เซไก กยูเซอิเกียว เป็นต้น ปรากฏการณ์ทางศาสนาดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจเพราะเกิดขึ้นและเจริญเติบโตท่ามกลาง การเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะลัทธิการเมืองแบบคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม ซึ่งยังคงไม่ประสบความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่นจริงๆเลย(จินดา จันทร์แก้ว, 2532 : 113-114.)ปัจจุบัน ศาสนิกศาสนาชินโตมีประมาณ 3,162,800 คน (Encyclopaedia Britanica 1994 : 269, อ้างใน ศาสนาชินโต,)(ออนไลน์)

สรุปได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา อย่างสมบูรณ์ต้องมี ศาสดา คือ ผู้ก่อตั้งศาสนา ซึ่งต้องมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ศาสนธรรม คือ คำสอนซึ่งเป็นหลักของศาสนา มีคัมภีร์เป็นที่รวบรวม คำสอน ศาสนทายาท คือ บุคคลผู้สืบทอดคำสอนของศาสนา ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาโดยตรง ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องมาจากคำสอนของศาสนา ศาสนสถาน คือ สถานที่ประกอบศาสนกิจและศาสนพิธีต่างๆ และศาสนิกชน คือ บุคคลผู้นับถือเลื่อมใสศรัทธาในศาสนานั้นๆ องค์ประกอบทั้งหมดนี้ บางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหนึ่งไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นศาสนา

--------------------------------

เอกสารและสิ่งอ้างอิง

จินดา จันทร์แก้ว. 2532. ศาสนาปัจจุบัน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

เดือน คำดี. 2541.ศาสนศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์. 2545. ศาสนาและปรัชญาในจีน ทิเบตและญี่ปุ่น. กรุงเทพฯ :

สำนักพิมพ์สุขภาพใจ.

ธรรมกาย. 2550. ศาสนศึกษา .ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย.

นงเยาว์ ชาญณรงค์. 2539. วัฒนธรรมและศาสนา. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัย

รามคำแหง.

ภัทรพร สิริกาญจนและคณะ. 2546. ความรู้พื้นฐานทางศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ :

สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยศาสนศึกษา. ศาสนาชินโต.

http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/shinto00.htm/6/7/2556.(ออนไลน์)

มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย. หนังสือเรียน+สื่อประกอบการเรียนการสอน.

http://book.dou.us/doku.php?id=df404:7/6/7/2556.(ออนไลน์)

ศาสนาเต๋า : เศรษฐกิจพอเพียง. https://sites.google.com/site/wwwlovesuffcom/-20.

5/กรกฎาคม/2556.(ออนไลน์)

เสฐียร พันธรังษี. 2546.ศาสนาเปรียบเทียบ.พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ.

สุชีพ ปุญญานุภาพ. 2541. ประวัติศาสตร์ศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์รวมสาส์น.

---------------------. 2545. ประวัติศาสตร์ศาสนา. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ รวมสาส์น.

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธรเถร). 2548. สากลศาสนา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา.

แสง จันทร์งาม. 2545. ศาสนศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 4.กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช.

หลวงวิจิตรวาทการ. 2546. ศาสนาสากล เล่ม 1. กรุงเทพฯ : อุษาการพิมพ์.

องค์การเผยพระคริสต์ธรรม. 2517. พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม ฉบับ 1971.

Encyclopaedia Britanica. 1994 , อ้างใน ศาสนาชินโต,

http://sereykh.blogspot.com/2009/09/blog-post_3212.html,31/08/2556.(ออนไลน์)

Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward. 2007. Religions of the World (New Jersey :

Upper Saddle river.

www.indiaindream.com/ศาสนาโซโรอัสเตอร์/ศาสนาโซโรอัสเตอร์-Zoro.../5/7/2556.(ออนไลน์)

 

 


โลกทัศน์ทางพุทธศาสนา

Amazing🤩 Our Second Day We Stay In The Deep Sea And Caught Lot Of Tuna F...#HTML